หน้าหลักเกี่ยวกับวัดบุคลากรบริการLinks

เทวดาบนท้องถนน

โจน เวสเตอร์ แอนเดอร์สัน เขียนไว้ในหนังสือ “ บรรดาเทวดาเดินที่ไหน ” ของเธอว่า ได้รับรายงานมากมายจากคนปกติธรรมดาที่สุดว่า พวกเขาเคยมีประสบการณ์กับสิ่งที่มีชีวิตเหนือธรรมชาติ ภายใต้รูปปรากฏของมนุษย์ที่ได้มาพบพวกเขาและให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากภยันตรายที่มองไม่เห็นล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น แครอล ตุสแซง ขณะที่กำลังขับรถไปบนถนนตามที่ราบสูงอาร์ลิงตั้น มลรัฐอิลลีนอย สหรัฐฯ เมื่อมาถึงสี่แยกทางข้ามทางรถไฟ รถของเธอก็มาตายอยู่ตรงกลางทางพอดี เธอไม่สามารถที่จะติดเครื่องรถได้เลย เธอไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งปรากฏตัวให้เห็นพร้อมกับชี้ให้เธอเห็นภยันตรายที่กำลังจะมาถึงเธอ เธอรีบออกจากรถและวิ่งข้ามถนนไป ทันใดนั้นเองรถไฟคันหนึ่งก็วิ่งมาถึงและชนรถของเธอกระเด็นไป แล้วเด็กหนุ่มที่มาช่วยเหลือเธอนั้นอยู่ที่ไหน เธอมองหาเขาเท่าไรก็ไม่เห็น มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์และเหนือธรรมชาติจริงๆใครเป็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและความเป็นห่วงเป็นใยคนนี้เล่า

สเตซี เด็กสาวอายุราวยี่สิบปีกำลังกลับบ้านหลังจากออกไปทำงานทั้งวัน ในคืนวันหนึ่งก่อนที่จะถึงบ้านเธอก็เห็นบุคคลหนึ่งซึ่งทำให้เธอเกิดความกลัวเป็นอย่างมาก เขากำลังเดินมาแล้วหยุดอยู่ที่ตรงมุมถนน เธอเรียกหาอารักขเทวดาของเธอ “ ข้าแต่อารักขเทวดาช่วยคุ้มครองลูกด้วย ” และก็เดินผ่านไปด้วยความสั่นกลัว เมื่อเธอไปถึงบ้านก็รีบเข้าห้องเพื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหวอรถตำรวจ พอมองออกทางหน้าต่างตรงมุมถนนนั้นก็เห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้น วันรุ่งขึ้นเธอได้ยินว่าชายคนหนึ่งได้ก่อเหตุรุนแรงขึ้นกับเด็กสาวคนหนึ่ง ณ ตรงมุมถนนนั้น ตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้คนหนึ่ง เธอได้ไปที่สถานีตำรวจเพื่อจะดูว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับที่เธอได้เห็นเมื่อเย็นวันก่อนนี้หรือเปล่า ? และเธอจำได้ว่าเป็นเขาคนนั้นจริงๆ

ตำรวจได้สอบถามหนุ่มคนนั้นว่าทำไมเขาจึงไม่ทำอันตรายแก่เธอ เขาให้คำตอบว่า “ ผมจำเธอได้ดี แต่ว่ามีชายสูงใหญ่คนหนึ่งเดินเคียงข้างไปกับเธอ เขาอยู่ทางด้านขวาของเธอ ” เป็นอารักขเทวดาของเธอที่ได้ช่วยเหลือเธอให้รอดพ้น

คุณพ่อปอล โอซัลลีวัน ในหนังสือของท่านที่เราได้พูดถึงข้างบนนี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอังกฤษครอบครัวหนึ่งที่อยู่ในชนบท วันหนึ่งบุตรชายอายุหกขวบของพวกเขาไม่รู้หายไปไหนไม่มีใครได้พบเห็น เขาเดินเข้าไปในชนบทโดยไม่ได้ขออนุญาต เขาเดินไปเรื่อยๆและเมื่อหยุดเพื่อดูว่าตนอยู่ที่ไหนก็ปรากฏว่าเขาได้หลงทางและไม่ทราบว่าจะกลับไปบ้านทางไหน ฝนก็เริ่มตกเขารู้สึกหนาวและเหนื่อย เขาจึงได้นั่งลงด้วยความตกใจกลัว ตกเย็นเขาก็ยิ่งสิ้นหวังและเสียใจ ทันใดนั้นเองเขาเห็นเด็กหนุ่มลักษณะใจดีคนหนึ่งถือตะเกียงอยู่ในมือ เด็กก็เข้าไปหาหนุ่มคนนี้พร้อมกับกล่าวว่า “ พี่ครับ กรุณาช่วยพาผมกลับบ้านหน่อยได้ไหม ” หนุ่มคนนั้นยิ้มให้พร้อมกับจูงแขนเด็กด้วยมือข้างที่ไม่ได้ถือตะเกียงสวยงามใบนั้นเพื่อส่องทางให้ ทันทีเด็กไม่รู้สึกหิวหรือหนาวอีกต่อไป เขาไม่เคยรู้สึกดีใจแบบนี้มาก่อนเลยและพูดคุยกับหนุ่มนั้นอย่างคุ้นเคยและอย่างไว้ใจ ทั้งสองต่างคุยกันไปหัวเราะกันไปจนถึงบ้านของเด็ก รู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่สั้นที่สุด เด็กก็เดินไปวิ่งไปด้วยความดีใจแต่พอจะหันหน้ามาหาหนุ่มนั้นเพื่อขอบคุณก็ไม่เห็นเขาอีกแล้ว เขาได้หายตัวไปแล้ว

แมรี่ ดราฮอส เขียนลงในหนังสือ “ บรรดาเทวดาของพระเป็นเจ้า อารักขเทวดาของเรา ” ของเธอว่า ระหว่างสงครามอ่าว ( เปอร์เซีย ) นักบินอเมริกาเหนือคนหนึ่งมีความกลัวตายมาก วันหนึ่งก่อนที่เขาจะออกปฏิบัติหน้าที่เขารู้สึกตัวสั่นและเป็นห่วงมาก ทันใดนั้นก็มีคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างๆเขาพร้อมกับทำให้ใจของเขาสงบโดยพูดว่าไม่ต้องกลัวหรอกทุกอย่างจะเรียบร้อยไปเอง … แล้วก็หายตัวไป เขาเข้าใจทันทีว่านั่นเป็นเทวดาของพระเจ้า และอาจเป็นอารักขเทวดาของเขาเองด้วย แล้วเขาก็สำรวมใจอยู่ในอาการสงบแล้วเขาก็เป็นแบบเดียวกันนี้ในคราวต่อๆไป ภายหลังเขาก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทางโทรทัศน์ในประเทศของเขา

มองซิงญอร์ เปรอน กล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เพื่อนของท่านเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องของความเชื่อจริงๆเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่เมืองตุรินในปี 1955 สตรีคนหนึ่ง ( ไม่ประสงค์ออกนาม ) มีความศรัทธาต่ออารักขเทวดาอย่างมาก วันหนึ่งเธอไปจ่ายตลาดที่เมืองปอร์โต ปาลาสโซ ขากลับบ้านเธอรู้สึกไม่สบาย เธอจึงเข้าไปในโบสถ์ของมารดามรณสักขี บนถนนการีบัลดีเพื่อจะได้นั่งพักพร้อมกับขอร้องอารักขเทวดาของเธอให้ช่วยเธอให้กลับถึงบ้านซึ่งอยู่ที่ถนนโอปอร์โต ขณะนี้เธออยู่ที่ถนนมัตเตออตตี หลังจากที่เธอรู้สึกว่าดีขึ้นหน่อยก็ออกจากวัด ทันทีเธอเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราวๆเก้าหรือสิบขวบเข้ามาหาเธอท่าทางน่ารัก หน้าตายิ้มแย้มพร้อมกับถามว่าจะไปทางปอร์โต นูโอวา ไปทางไหน เธอก็ตอบว่าเธอเองก็กำลังเดินไปทางนั้นจึงเดินไปด้วยกัน เด็กหญิงรู้สึกว่าสตรีคนนี้ไม่ค่อยสบายและดูท่าทางว่าจะเหนื่อยจึงขอช่วยถือของให้แต่เธอกลับตอบว่า “ หนูยกไม่ไหวหรอก มันหนักเกินไปสำหรับหนู ” “ คุณขา คุณขา หนูอยากช่วยคุณ ” เด็กคนนั้นคะยั้นคะยอ ในการเดินทางไปด้วยกันนั้นสตรีคนนี้มีความรู้สึกแปลกใจปนกับความใจดี จากความเห็นอกเห็นใจของเด็กคนนั้นจึงได้ถามเรื่องราวของเด็กว่า บ้านอยู่ที่ไหนและครอบครัวเป็นอย่างไรแต่เด็กเลี่ยงไม่ยอมตอบและเมื่อมาถึงบ้านของสตรีคนนึ้แล้วเด็กก็วางตะกร้าไว้ที่หน้าประตูบ้านแล้วก็หายตัวไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ก่อนที่เธอจะสามารถขอบใจเขาได้ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาสตรีคนนั้นยิ่งมีความศรัทธาต่ออารักขเทวดามากขึ้นที่ได้กรุณาช่วยเหลือเธอแบบที่สัมผัสได้ภายใต้รูปปรากฏของเด็กสาวที่น่ารัก ในช่วงเวลาที่เธอมีความจำเป็น

ท่านได้เคยมีประสบการณ์ส่วนตัวบ้างไหม ?
ท่านเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเทวดาบ้างไหม ?
 

เทวดาของพระเป็นเจ้า

ในชีวิตของท่านเคยมีครั้งใดบ้างไหมที่ท่านได้รับความช่วยเหลือจากเทวดาให้รอดพ้นจากภยันตรายที่ใกล้ตัว ? ปีแอร์ โจวาโนวิช นักหนังสือพิมพ์ชาวฝรั่งเศสเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเขาให้ฟังว่า “ เย็นวันหนึ่งของเดือนมกราคมปี 1988 ขณะที่ผมอยู่ทีเมืองฟรีมอนท์ในสหรัฐอเมริกา ขณะที่ผมและเพื่อนของผมคนหนึ่งกำลังขับรถไปตามถนนสาย 101 มุ่งหน้าไปยังซานฟรานซิสโก ทุกสิ่งทุกอย่างดูปกติดี อากาศแจ่มใสดีและเนื่องจากผมไม่ได้เป็นคนขับรถจึงได้มีโอกาสดูรถบรรทุกต่างๆที่แซงขึ้นหน้าเราไป … ทันใดนั้นโดยที่ยังไม่ได้คิดอะไรผมถูกเหวี่ยงให้ไปอยู่ด้านซ้ายของรถและภายในเสี้ยววินาทีนั้นเองก้อนหินเจาะผ่านไปตรงกระจกหน้าในที่ๆผมนั่งอยู่ก่อนหน้านี้พอดี คือทางด้านขวานั่นเองและเมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆของผมฟัง พวกเขาก็พากันพูดว่าไม่ใช่เพียงแต่ผมคนเดียวที่มีประสบการณ์แบบนี้ เพื่อนๆนักหนังสือพิมพ์และตากล้องทั้งหลาย ต่างก็เคยได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความตายแบบนี้มาด้วยกันทั้งสิ้น ”

ปีแอร์ คิดว่าการที่เขาไม่ได้เป็นอันตรายอะไรในครั้งนั้นก็เพราะว่า อารักขเทวดาของเขาช่วยและเพราะเหตุนี้เองเขาจึงได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อจะได้พิสูจน์ถึงเรื่องนี้ที่เขาจะสามารถ ผลที่ตามมาคือเขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “ สืบสวนเรื่องราวเกี่ยวกับอารักขเทวดา ” ซึ่งเขาได้เล่าถึงเรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆเพื่อส่งเสริมความเชื่อของเราในเรื่องความช่วยเหลือจากเทวดา

เพื่อนของผมคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่เคยมีความสงสัยถึงความจริงใจของเขาเลยเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้ขณะที่เขากำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย วันหนึ่งขณะที่เขากำลังยืนรอรถประจำทางอยู่ สมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องการสอบไล่ที่จะมาถึง ทันใดนั้นเขารู้สึกคล้ายกับว่ามีใครบางคนมากระชากผมของเขาให้ถอยหลัง ในเวลาเดียวกันนั้นเองรถประจำทางคันหนึ่งวิ่งผ่านไปตรงที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ด้วยความเร็วสูง เขาจึงมองไปข้างหลังเพื่อจะได้ดูว่าเป็นใครที่กระชากผมของเขาให้ไปอยู่ข้างหลัง … เขาไม่เห็นใครเลย เขาอยู่ตรงนั้นคนเดียวเท่านั้น เขาจึงคิดทันทีว่าต้องเป็นอารักขเทวดาของเขาอย่างแน่นอนและนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไปเขาไม่เคยลืมอารักขเทวดาของเขาเลย

ผู้หญิงคนหนึ่ง เล่าให้ผมฟังว่า คืนวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังเดินทางกลับบ้านในความมืดและความเงียบสงัด ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งจอดใกล้ๆตัวเธอ ชายสองคนออกจากรถเพื่อจะลากตัวเธอขึ้นรถ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองที่ตรงมุมถนนก็มีชายคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเธอ ชายทั้งสองจึงรีบแจวอ้าวหนีไปอย่างไม่คาดคิดชีวิต ชายที่น่ารักคนนั้นได้พาเธอไปจนถึงบ้าน เธอไม่เคยลืมเหตุการณ์นี้เลย เธอคิดเสมอว่านั้นเป็นการคุ้มครองจากพระเป็นเจ้าอย่างแน่นอน เป็นอารักขเทวดาของเธอไหมนี่ ? เป็นการบังเอิญที่ชายคนหนึ่งมาตรงนั้นในเวลานั้นพอดีเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เธอหรือ ? อาจเป็นได้แต่ก็อาจเป็นได้เช่นกันว่าอารักขเทวดาของเธอปรากฏตัวมาในรูปร่างของชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมาทางนั้นในเวลานั้นพอดี เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เธอ ไม่มีอะไรเป็นการบังเอิญ

คุณพ่อโดนาโต จีเมเนส เล่าด้วยความสำนึกในพระคุณตลอดเวลาถึงเหตุการณ์อันหนึ่งที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเองและน้องฝาแฝดของท่าน ซึ่งต่างก็เป็นสมาชิกของคณะเอากุสตินยุคฟื้นฟูด้วยกันทั้งสอง ครั้งหนึ่งขณะที่ทั้งสองเดินทางกลับจากกรุงลีมา จากภูเขาฮัวราช ประเทศเปรู ที่มีความสูงจากน้ำทะเล 3,000 เมตร ในเดือนกรกฎาคมปี 1990 ท่านเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “ เมื่อเดินทางผ่านทะเลสาบโกโนโกกาแล้ว เราก็เริ่มวิ่งลงจากเขาตามถนนที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดเลย แล้วนั้นเราก็มาถึงตรงที่หมอกลงจัดมากจนทำให้เราไม่อาจจะเดินทางต่อไปได้แม้จะค่อยๆคลานไปก็ตาม เราตกอยู่ในท่ามกลางหมอกสีขาวๆนี้จนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนกันเลยทีเดียว ผมไม่เคยเห็นหมอกหนาทึบอย่างนี้มาก่อนเลย เราจำเป็นที่จะต้องอยู่ในรถจนถึงวันรุ่งขึ้น โดยหวังว่าหมอกคงจะจางลง การที่จะเดินหน้าหรืออยู่ข้างๆถนนต่างก็มีอันตรายพอๆกัน ยิ่งกว่านั้นเรายังกลัวว่าจะถูกพวกก่อการร้ายจู่โจมหรือฆ่าเรา จึงทำให้เราทั้งสองตกใจกลัวมากยิ่งขึ้น พวกเรานั่งอยู่ในความเงียบเป็นเวลานานโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ต่างก็พากันภาวนาเป็นต้นต่ออารักขเทวดาของเราด้วยความร้อนรนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรามีความรู้สึกว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงมาก ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี วันนั้นเราไม่เห็นใครเดินทางมาทางนั้นตั้งแต่เวลาที่เราออกเดินทาง ทันใดนั้นเราเห็นรถคันหนึ่งเดินทางมาทางเราด้วยความเร็วสูงพอสมควร แล้วก็มาจอดอยู่ตรงหน้าเราประมาณสามเมตร แล้วก็เดินหน้าอย่างช้าๆ ช้ามากเลยทีเดียวเพราะสถานการณ์ในตอนนั้น เขาพยายามที่จะให้เราเห็นแสงไฟท้ายของเขาแล้วก็เดินหน้าไปอย่างช้าๆเพื่อให้เราขับรถตามหลังเขาไป เราไม่รู้ว่าเราผ่านไปตรงไหนบ้าง เราขับรถตามเขาไปแบบนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมง จนในที่สุดเราก็มาถึงเมืองปาตีวิลกาที่อยู่ชายฝั่งและไม่มีหมอกอีกและรถคันนั้นซึ่งเราคิดว่าเป็นอารักขเทวดาของเราก็หยุดอยู่ที่นั่น เราแทบไม่เชื่อเลยว่ามันเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร เราร้องไห้ด้วยความดีใจแล้วโผเข้ากอดชายคนนั้นที่นั่งเงียบอยู่ เขามีชื่อว่าโฮเซซึ่งบอกเราว่าเขาเป็นคนที่รู้จักทางจากฮัวราชถึงลีมาดี เมื่อเห็นเราเขาก็บอกว่า พวกท่านไม่อยู่ที่นี่จึงไม่รู้จักทางแล้วเขาก็เดินทางต่อไปยังกรุงลีมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในกรณีนี้ทั้งตัวเขาเองและผู้โดยสารต่างก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาพอใจและดีใจในกิจการดีของพวกเขา เราถือว่านี่เป็นผลงานของอารักขเทวดาของเรา เราจึงได้พากันขอบคุณท่าน และในบทเทศน์ของวันอาทิตย์นั้นเราได้เล่าเรื่องนี้และขอให้สัตบุรุษได้ร่วมจิตร่วมใจกันกับเราขอบคุณอารักขเทวดาผู้ซื่อสัตย์ของเรา มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้ทราบเพื่อจะได้ร่วมกันขอบพระคุณอย่างเปิดเผยด้วยความยินดี ”

อีกตัวอย่างหนึ่ง วันที่ 11 พฤศจิกายน 1958 ที่เมืองกันตูในแคว้นโกโม ประเทศอิตาลี สิงโตสี่ตัวได้หนีออกจากกรงของคณะละครสัตว์ รถตำรวจและผู้เกี่ยวข้องได้ออกวิ่งไปรอบเมืองประกาศให้ชาวเมืองได้รู้เรื่องพร้อมทั้งขอร้องมิให้ฆ่าสัตว์เหล่านั้น หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ได้รับข่าวว่าจับได้สามตัวแล้วและยังเหลืออีกหนึ่งตัว ในบ้านหลังหนึ่งแม่และลูกอีกสามคนซ่อนตัวอยู่ในครัว คนเล็กเป็นเด็กทารกและโดยที่ไม่ได้คาดฝันเจ้าสิงโตตัวนั้นได้เข้ามาที่สวนหลังบ้านแล้วก็ได้ปีนหน้าต่างเข้ามาในห้องครัว คุณแม่รู้สึกตกใจมากได้พาลูกสองคนหนีไปอีกห้องหนึ่งพร้อมกับภาวนาขออารักขเทวดาว่า “ ข้าแต่อารักขเทวดาโปรดช่วยเราด้วย ” สิงโตยังอยู่ในห้องครัวพร้อมกับเด็กทารกนั้น มันโกรธและได้รับบาดเจ็บมากจากสตรีคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่ง แต่ว่าในทันใดนั้นมันก็นอนอย่างสงบใกล้ๆทารกคนนั้นและนอนอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง จากนั้นมันก็ลุกขึ้นอย่างสงบและไปรับอาหารที่คนเอามาล่อมันทางหน้าต่างแล้วเดินเข้ากรงไป มีหลายคนมาให้ความบรรเทาใจแก่คุณแม่ที่กำลังจะเป็นบ้าอยู่ในขณะนั้น เธอพูดได้แต่เพียงคำเดียวว่า “ อารักขเทวดา อารักขเทวดา ” สำหรับเธอแล้วอารักขเทวดาเป็นเครื่องมือของพระเป็นเจ้าเพื่อช่วยเหลือเธอในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้

คุณจำได้ไหมว่า มีเหตุการณ์อะไรที่คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณบ้าง ? คุณได้เคยเรียกหาพระเป็นเจ้าหรืออารักขเทวดาหรือแม่พระบ้างไหม ? หากว่าได้ทำเช่นนั้น อาจเป็นได้ที่พระเป็นเจ้าได้ประทานความช่วยเหลือแบบพิเศษนี้แก่คุณ โดยผ่านทางบรรดาเทวดาที่อยู่ในสวรรค์หรือบนโลกนี้เพื่อถวายการรับใช้แด่พระเป็นเจ้า คุณต้องการที่จะเป็นอารักขเทวดาสำหรับคนอื่นที่มีความต้องการบ้างไหม ? จงพิจารณาดูดีๆถึงความแตกต่างระหว่างผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือในสถานการณ์ที่ไม่อาจจะอธิบายได้และผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ ระหว่างผู้ร้องขอความช่วยเหลือกับผู้ที่ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือ พระคริสตเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า “ จงขอแล้วท่านจะได้รับ ” ( มธ ,7,7) มีหลายอย่างที่เราไม่ได้รับเพราะว่าเราไม่ได้วอนขอ การที่เราไม่วอนขอก็เท่ากับไม่ให้โอกาสแก่พระเป็นเจ้าที่จะประทานความช่วยเหลือแก่เรา ทั้งนี้เพราะว่าเราเชื่อในความเพียงพอของเราเอง จงสวดภาวนาและจงเชื่อเถิด แล้วพระเป็นเจ้าจะทรงส่งเทวดาของพระองค์มาช่วยเหลือเรา

แล้วท่านล่ะ ท่านได้ร้องขอพระเยซูเจ้า พระแม่มารี และอารักขเทวดาของท่านเวลาที่ตกอยู่ในภยันตรายบ้า