|
1. อันตรายจากขวดน้ำพลาสติก
หลาย ๆ คนไม่ทราบถึงอันตรายจากสารพิษที่มีสาเหตุมาจากการนำขวดพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำ คุณหลายๆ คนอาจยังมีพฤติกรรมการใช้ และการนำกลับมาใช้ใหม่ ของขวดน้ำแร่ (เช่น Nestle, Bisleri, Aquafina, Kinley, Evian, และอื่นๆ)
โดยการเก็บขวดเหล่านั้นไว้ในรถ หรือที่ทำงาน ซึ่งนั่นไม่ใช้ความคิดที่ดีเลย มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นใน ดูไบ เมื่อเด็กหญิงอายุ 12 ปี เสียชีวิตหลังจากการใช้ขวดน้ำแร่ใส่น้ำไปโรงเรียนเป็นระยะเวลานานถึง 16 เดือน
ซึ่งพลาสติกที่เรียกว่า Polyethyleneterephthalate หรือ PETบรรจุสสารที่เป็นตัวการสำคัญที่เรียกว่า diethyl hydroxylamine or DEHA ขวดเหล่านี้จะมีความปลอดภัยในการใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
หากคุณต้องการเก็บไว้ให้นานขึ้น ก็ต้องไม่นานกว่า 2-3 วัน หรือ 1 สัปดาห์ถือว่านานที่สุด และต้องเก็บไว้ให้ห่างจากความร้อนด้วยเช่นกัน การล้างขวดน้ำซ้ำๆและล้างโดยการเขย่าขวดนั้น
เป็นสาเหตุของการเสื่อมตัวของพลาสติกและเกิดสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่จะเข้าไปรวมตัวกับน้ำที่คุณใส่ไว้ในขวดสำหรับดื่ม ทางที่ดีคุณควรจัดหาขวดสำหรับใส่น้ำที่สามารถใช้บรรจุน้ำได้หลายๆ ครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่
สิ่งที่ต้องใช้อย่างประหยัด แต่อยากให้นึกถึงครอบครัวและตัวของคุณเอง http://www.thaimisc.com/freewebboard..._tu&topic=5547
2.ม่านพลาสติกตัวก่อเชื้อโรค
ม่านพลาสติกที่แขวนในห้องน้ำเพื่อกั้นพื้นที่แห้ง กับเปียก ใช้ไปนาน ๆ ก็คงสกปรก และอาจก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
มีนักจุลชีววิทยา ในต่างประเทศ
สังเกตว่าที่ม่านพลาสติกมีคราบดำ ๆ ทีแรกคิดว่าเป็นคราบสบู่ ลองขูดแล้วเอาไปส่องกล้อง ปรากฏว่าคราบดำ ๆ ดังกล่าวเป็นแบคทีเรียชนิดร้ายแรงที่เติบโตโดยอาศัย การผายลม การเลอ การไอ จาม fficeffice" />>>
แนะนำว่า ควรถอดไปซัก อาทิตย์ละครั้ง หรือ เดือนละ 2 ครั้งก็ได้ หรือถ้าไม่มีเวลาก็เดือนละครั้งก็ยังดี นอกจากนี้ อะไรที่เป็นพลาสติกก็เข้าข่ายเหมือนกัน เชื้อโรคมันจะทำอันตรายเราก็ต่อเมื่อ เราป่วย มีบาดแผล คนแก่
คนที่ผ่าตัด เปลี่ยนอวัยวะ แล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน >> ยังไงก็อย่าลืมหันมาทำความสะอาดม่านพลาสติกกันด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี. http://www.siamdara.com/VarietyK/00004171.html
เรื่องคนนอนดึก
3. เรื่องคนนอนดึก
เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ย
แน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสมอ่ะ แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้ 3.1 งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยาก ลำไส้ต้องทำงานหนัก 3.2
หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียด ยิ่งดี จะได้ แบ่งเบาภาระลำไส้ 3.2 ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก
1 แก้วก็ได้ เหมียน กัลลล...ล 3.3 เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า 3.4 ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า 3.5 ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม
เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายเราต้องความร้อน เพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกาย เราต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้
การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มี ประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก
**** ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ ควรกินเวลา 7.00 น - 9.00 น. เนื่องจากกระเพาะเรามีสภาพเป็นกรดสูงมากที่สุด
ดังนั้นมื้อเช้าจะจำเป็นมาก ๆ ถ้าอดมื้อเช้าไปนาน ๆ ขั้วกระเพาะเราจะเป็นปุ่มปม และนานเข้า ๆ ก็กลายเป็นมะเร็งในกระเพาะ อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วนะ น้ำสะอาดจะช่วยล้างของเสีย ออกจากร่างกาย
อย่าขี้เกียจลุกไปห้องน้ำเด็ดขาด ห้ามอดหลับอดนอนตั้งแต่ ตีหนึ่ง เด็ดขาด เนื่องจาก ถุงน้ำดีกำลังย่อยไขมัน ถ้าอดนอนเวลานี้บ่อย ๆ จะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี http://www.bullvariety.com/board/question.asp?QID=520
4. ใครชอบกินนมแทนอาหารในมื่อเช้าฟังทางนี้
ห้ามกินนมตอนเช้า แทนข้าวเช้า เนื่องจาก ตอนเช้ากระเพาะเป็นกรดสูงมาก นึกสภาพดูหากเราบีบน้ำมะนาวลงในนม จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมี กลายเป็นคอลลอยด์ มันไม่ย่อย นะจ๊ะ
ถ้าดื่มนมตอนท้องว่างแบบนี้ติดต่อกันเป็นประจำแทนข้าวเช้า ระวังมะเร็งในไขกระดูกนะจ๊ะ แต่ถ้าเป็นช่วงหลังอาหารเช้า หรือ ตอนบ่ายไปแล้ว หรือตอนเย็นดื่มได้ตามปกติจ้า มื้อเย็นอาจเป็นมื้อง่าย ๆ อย่างนม กับไข่ก็ไม่ว่ากัน
ถั่วต่าง ๆ รวมทั้งธัญพืชสารพัดอย่าง เช่น ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ มีประโยชน์ต่อลำไส้ คือ ช่วยกวาดเชื้อโรค + แบตทีเรียชนิดไม่ดี ออกจากลำไส้เรา ควรกิน อาทิตย์ละครั้ง อย่างน้อย พืชผักสีเขียว มีคลอโรฟิว
ช่วยทำให้เม็ดเลือดลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดี เซลแต่ละเซลล์จะแข็งแรงเมื่อมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยง ก่อนเอาผักมากิน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษ อย่าลืมแช่น้ำส้มสายชู 45 นาทีนะจ๊ะ
ขอให้ถนอมสุขภาพร่างกายของเราให้ดีกันทุกคนนะจ๊ะ ด้วยความปรารถนาดี ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสร็จจ้า
ปล. ข้อมูลทั้งหมดมีที่มาไม่ได้โมเมนะจ๊ะ 5.ทิชชูกับมะเร็งปากมดลูก
เกร็ดความรู้วันนี้เป็นของชาวเว็บท่านหนึ่งที่อยากฝากเตือนผู้หญิงทุกคนค่ะ นั่นคือ มะเร็งร้ายที่ปากมดลูก สิ่งที่ข้าพเจ้าจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก มะเร็งปากมดลูกไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์
แต่เกิดได้จากการใช้ทิชชูในเวลาทำกิจวัตร จะเกิดจากเป็นเชื้อราเล็กๆ และขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย ตอนนี้ข้าพเจ้าเป็นเชื้อราเล็กๆ อยู่จึงไม่กังวลมาก
แต่สาเหตุที่แท้จริงคือทิชชูมีสารเคมีตัวฉกาจที่เมื่อใช้เป็นเวลานานติดต่อกันจะทำให้เกิดในช่องคลอดได้ หมอแนะนำว่าหลังจากเสร็จกิจใน ห้องน้ำ ให้ใช้ทิชชูซับแทนการเช็ด และต้องซับครั้งเดียว ไม่เกิน 10
วินาทีเป็นการหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อราได้ 50 % ด้วย ความปรารถนาดี โดย เดลินิวส์ http://health.deedeejang.com/news/82.html
6.เตือนคนอ้วนลงพุง สัญญาณสารพัดโรค!
หากมีเวลาอยู่หน้ากระจก ลองก้มลงมองพุงตัวเองสักนิด. ..เพราะคนอ้วนที่ "ลงพุง" ได้รับคำเตือนจากแพทย์ว่า อาจมีสารพัดโรครุมเร้า เพราะรู้กันอยู่ว่า "ความอ้วน" เป็นสาเหตุของสารพัดโรค
และกำลังคุกคามทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ประกอบกับวิถีชีวิตของคนไทยที่เปลี่ยนไป มีการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบมากขึ้น ทำให้ออกกำลังกายน้อยลง ดังนั้น เพื่อเตือนให้นึกถึงความสำคัญของการออกกำลังกาย
บริษัท เนสท์เล่
(ไทย) ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุน โครงการศึกษาวิจัยการประเมินปัจจัยเสี่ยงของโรค "เมตะบอลิก ซินโดรม" เพื่อแนะนำให้รู้จักการดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ
ป้องกันการเกิดโรคก่อนวัยอันควร
โดยมอบเครื่องมือตรวจวัดไขมันในร่างกายเพื่อทำวิจัย พร้อมสนับสนุนการผลิตสื่อเผยแพร่ความรู้ด้านอาหารและโภชนาการ ป้องกันโรคอ้วน แพทย์หญิงแสงโสม สีนะวัฒน์ แพทย์หญิงแสงโสม
สีนะวัฒน์ สำนักที่ปรึกษา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกว่า คนอ้วนมีหลายแบบ แต่แบบที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคือ "คนอ้วนลงพุง" ซึ่งมักใช้การวัดรอบเอว (โดยวัดผ่านสะดือ) เป็นเกณฑ์พิจารณา ยึดหลักว่า
*ชายไทยหากวัดรอบเอวเกิน 36 นิ้ว จะนับว่าอ้วนลงพุง* ส่วนผู้หญิงถ้าวัดเกิน 32 นิ้ว ถือว่า "อ้วนลงพุง" หากเข้าข่ายว่าอ้วนลงพุงแล้ว ก็มีความเสี่ยงจะเป็นโรคเมตะบอลิก ซินโดรม
ซึ่งหมายถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากไขมันในช่องท้องแทรกอยู่ตามกระเพาะ ลำไส้ ตับ ตับอ่อน จะทำให้อินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อนออกฤทธิ์ได้ไม่ดี จนเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง นำไปสู่โรคเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือดตีบตันตามมา หากทราบว่าอยู่ในข่าย
"อ้วนลงพุง" และมีปัจจัยเสี่ยง คือความดันโลหิตสูง 130/85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป, น้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารสูง 100
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป, ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป และระดับไขมันเอชดีแอล คอเลสเตอรอลน้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้ชาย และน้อยกว่า 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรสำหรับผู้หญิง
ก็ต้องเร่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายโดยด่วน
"โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วน มีต้นกำเนิดเดียวกันคือ ดื้อต่ออินซูลิน
ความดื้อต่ออินซูลินเป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมจะกระตุ้นให้ความผิดปกตินี้แสดงออกมากขึ้น การอ้วนลงพุงนับเป็นสภาวะสำคัญที่สุดที่จะกระตุ้นภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ในขณะที่กลุ่มโรคดังกล่าวยังเป็นสาเหตุการตายของมนุษย์ถึงร้อยละ 70
และในอนาคตอันใกล้นี้ หรือในปี 2563 คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 25 ล้านคนทั่วโลก" แพทย์หญิงแสงโสมกล่าวเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี
คนผอมๆ ก็อย่าเพิ่งดีใจ เพราะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน หากมีพฤติกรรมบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และออกกำลังกายไม่เพียงพอ เคล็ดลับง่ายๆ ป้องกันไม่ให้เกิดโรคก็คือ สร้างความสมดุลระหว่างอาหารที่รับประทานเข้าไป
และการใช้พลังงานของร่างกายในแต่ละวัน 7. ระวัง! เลเซอร์พรินต์ อันตรายต่อสุขภาพ
ทีมนักวิทยาศาสตร์ในออสเตรเลียพบว่า เครื่อง เลเซอร์พรินเตอร์ ที่ใช้พิมพ์งานในสำนักงานนั้น
เป็นอันตรายต่อปอดของคนทำงานได้พอ ๆ กับอนุภาคควันจากการสูบบุหรี่ ผลจากการเฝ้าสังเกตตรวจตราเครื่อง เลเซอร์พรินเตอร์ หลายรุ่น 1 ใน 3 ของเครื่องนั้นปล่อยระดับหมึกที่เป็นอันตรายออกมาสู่อากาศรอบข้าง
ทีมนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ เรียกร้องต่อรัฐบาลให้ออกกฎควบคุมการฟุ้งกระจายของหมึกจากเครื่องพรินเตอร์อย่างจริงจัง และเสนอว่าเครื่อง พรินเตอร์ บางชนิดน่าจะมีการติดป้ายเตือนภัยเกี่ยวกับสุขภาพ
นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ทำการทดสอบเครื่อง พรินเตอร์ ต่าง ๆ กว่า 60 เครื่อง พบว่าเกือบ 1/3 นั้นมีการปล่อยอนุภาคหมึกขนาดเล็กจิ๋วออกมา มันมีขนาดเล็กมากจนสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดได้ และเป็นเหตุให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ
ไปจนถึงการเจ็บป่วยเรื้อรัง ในการทดสอบกระทำขึ้นภายในสำนักงานแบบเปิด และพบว่าอนุภาคนั้นเพิ่มขึ้น 5 เท่าระหว่างชั่วโมงทำงาน ซึ่งสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากการใช้เครื่อง พรินเตอร์ นั่นเอง
ปัญหาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนหมึกพิมพ์ใหม่ และมีการเรียกใช้งานพิมพ์ภาพกราฟฟิกที่มีปริมาณการใช้หมึกพิมพ์สูง รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมระวังรักษาสุขภาพกันด้วย. เดลินิวส์
http://health.deedeejang.com/news/447.html
8.สายตาสั้นนั่งหน้าจอระวังต้อหิน
ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยโตโฮของญี่ปุ่น กล่าวว่า..นอกจากการสูบบุหรี่ และโรคความดันโลหิตสูงแล้ว
การนั่งอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์นานๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เป็นโรคสายตาสั้นได้เหมือนกัน สำหรับคนที่มีสายตาสั้นอยู่แล้ว ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิด ความผิดปกติของประสาทตาเพิ่มมากขึ้น แล้วอาจจะส่งผลให้
เป็นโรคต้อหินได้
คณะวิจัยของ ดร. มาซากิ ตาเตมิชิ ได้ทดลองทำแบบสอบถามกับพนักงาน ที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ พบผู้มีปัญหาในเรื่องสายตาอยู่ 5%
และหลังจากทำการตรวจสายตาอย่างละเอียดพบว่า มีผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นต้อหิน อยู่ 1 ใน 3 จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้ที่มีสายตาสั้นแล้วต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอ
คอมพิวเตอร์นานๆ เป็นเวลาติดต่อกัน อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต้อหินได้
ที่มา : คอลัมน์ Living Beware นิตยสารใกล้หมอ Health Well- being ปีที่ 31 ฉบับที่ 2 เดือนมีนาคม 2550
11.ดื่มน้ำเย็นจัด ลดขีดความสามารถสมอง
การดื่มน้ำเย็นจัด จะทำให้สดชื่น แต่ทราบหรือไม่ว่า การดื่มน้ำเย็นจัด จะลดขีดความสามารถของสมองลงได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...
วารสารนิวไซเอินทิสต์
ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ พบว่า คนที่ดื่มน้ำเย็นจัดในยามที่ร่างกายไม่ได้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำนั้น จะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงไปทันที
โดยน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียวก็มากพอที่จะทำให้สมรรถภาพทางจิตใจของบางคนลดลงไปถึง 15%
โดย ดร.ปิเตอร์ โรเจอร์ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลและทีมงาน ได้ทดสอบผลกระทบของน้ำต่อกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 60 คน
ก่อนการทดสอบนั้น กลุ่มอาสาสมัครส่วนหนึ่งไม่ดื่มน้ำอะไรเลย และอีกส่วนหนึ่งดื่มน้ำก๊อก แช่เย็นจัดที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ในปริมาณ 1 แก้ว หรือ 300 มิลิลิตร
ปรากฏว่าคนที่หิวกระหายน้ำก่อนการทดสอบและดื่มน้ำเข้าไป สามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มอะไรประมาณ 10% ส่วนกลุ่มที่ไม่รู้สึกกระหายน้ำ แต่ดื่มน้ำเย็นจัดปรากฏว่าขีดความสามารถ ในการทำแบบทดลองลดลงไปถึง 15 %
นักวิจัยสรุปว่า การดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง หรือความคิดมาก ๆ โดยอุณหภูมิของน้ำดื่มอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสมอง
รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าดื่มน้ำเย็นจัดจนเกินไป ควรจะดื่มน้ำที่อุณหภูมิปกติจะดีกว่า.
12.เตือนภัย พิษจากปูนิ่ม
เพื่อน ๆ ชอบทานปูนิ่มกันรึเปล่าคะ ... ต้องระวังกันหน่อยนะคะ เพราะรู้มาว่า ปูนิ่ม
สมัยใหม่นี้ เป็นที่นิยมกันมาก และปูก็ลอกคราบปีละครั้งเท่านั้น ทีนี้ พอไม่พอขาย หลายรายเลยใช้วิธี ใช้สารเคมีเร่งให้ปูลอกคราบค่ะ วันก่อน เรากะสามีไปทานปูนิ่มผัดผงกะหรี่ที่ร้านเจ้าประจำ (ปกติสั่งอย่างอื่น)
แต่วันนั้น ทานปูนิ่ม ปรากฏว่า พอกลับบ้านมา สามีเราเป็นผื่นเป็นรอยปื้นหนา ๆ ขึ้นตามตัว ทีแรกไม่แน่ใจว่าแพ้อะไร พอทา คาลาดริลที่แขน (ตรงที่เป็นปื้นแดง) อีก 2-3 ชั่วโมง ปื้นแดง ก็ไปโผล่ที่มือ ที่ข้อศอก ทาที่ขา
พอปื้นแดงยุบตรงที่ทายา ก็ไปโผล่ที่ฝ่าเท้า เราเลยคิดว่า พิษมันพยายามออกมา พอไปบล๊อคที่หนึ่ง ก็โผล่มาอีกที่ ปรากฏว่า วันนี้ ลูกค้ามาเยี่ยมที่โรงงาน ลูกค้าคนนี้ เป็นเขยของร้านอาหารชื่อดัง เมืองระนอง
(ที่หลายคนในนี้ อาจจะเคยไปทานกันแล้ว) เค้าบอกว่า ที่ร้านเค้า เจอปัญหานี้เหมือนกัน คือ สั่งปูนิ่มมาขาย แล้วไม่รู้ว่า คนขายเค้าใช้สารเคมีกับปู เจอลูกค้ากลับมาคอมเพลนหลายรายว่า กินแล้วแพ้ เค้าบอกว่า
อาการเหมือนที่สามีเราเป็นเลย ยังเตือนสำทับอีกว่า ปูนิ่ม กับ กุ้งมังกร ดูเหมือนจะเป็นสองรายการที่มีการใช้สารเคมีมากที่สุด เลยเตือนให้ระวังไว้นะคะ ส่วนในกรณีของสามี หมอหมวยอย่างเรา
เลยรักษาเบื้องต้นโดยการให้กินรางจืดแคปซูลไป 2 มื้อ ควบคู่กับทายา และทานน้ำเยอะ ๆ ให้ถ่าย พอบ่าย ก็ยุบลงหมด ระวังไว้ด้วยนะคะ
13. แนวทางป้องกันตัว---โดยเฉพาะผู้หญิง
1. เคล็ดลับจากวิชาเทควันโด้
...........ข้อศอกเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของร่างกาย หากถูกทำร้ายหรือกำลังจะถูกทำร้าย และคุณอยู่ในระยะที่ใกล้พอ จงใช้ข้อศอกให้เป็นประโยชน์ (ถองกบาลหรือกกหูมันแรงๆ )
2.
ข้อแนะนำจากหนังสือแนะนำนักท่องเที่ยวเมืองนิวออร์ลีนส์ หากถูกโจรจี้ และขอกระเป๋าถือหรือกระเป๋าสตางค์ อย่ายื่นกระเป๋าให้โจร แต่ให้เขวี้ยงกระเป๋าไปไกลๆ
เพราะเป็นไปได้ว่าเจ้าโจรนั่นอาจสนใจเงินหรือข้าวของในกระเป๋ามากกว่าตัวคุณมันจะวิ่งไปคว้า กระเป๋าที่คุณโยนออกไป ทีนี้ก็จงาววิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปในทิศทางตรงกันข้าม
3.
ถ้าถูกจับขังในฝากระโปรงท้ายรถพยายามทุบให้ไฟท้ายรถหลุดออก จากนั้นยื่นแขนออกมาจากรูโหว่แล้วโบกสุดฤทธิ์ คนขับมองไม่เห็นคุณ แต่รับรองชาวบ้านเห็นแน่ๆ วิธีนี้ช่วยชีวิตคน มานักต่อนักแล้ว
4. อย่านั่งแช่ในรถ สาวๆ
ทั้งหลาย เมื่อเสร็จภารกิจช้อปปิ้ง กินข้าว เลิกงาน ฯลฯ ก้าวขึ้นรถแล้วก็มักจะ นั่งแช่ ทำอะไรต่อมิอะไรกระจุกกระจิก เป็นต้นว่า ดูสมุดบัญชี จดลิสต์รายการ ข้าวของ หรือเรื่องที่จะต้องทำ หรืออื่นๆ
ขอเตือนว่าอย่าทำเช่นนี้เป็นอันขาด ผู้ร้ายอาจ กำลังจับ ตาเฝ้าดูคุณอยู่
การที่นั่งจ่อมอยู่อย่างนี้แหละจะเป็นโอกาสอันงามที่มันจะ ก้าวขึ้นมานั่งในรถข้างๆ คุณ เอาปืนจี้แล้ว สั่งให้พาไปไหนต่อไหน
เพราะฉะนั้นก้าวขึ้นนั่งในรถเมื่อไรให้รีบล็อคประตูแล้วออกรถทันที
5. ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เมื่อคุณต้องเดินไปยังรถที่จอดในลานจอดรถ โรงจอดรถ หรืออาคารที่จอดรถ
ก. ประสาทตื่นตัว หมั่นสำรวจรอบตัว มองข้างในรถทั้งที่นั่งข้างคนขับ พื้นรถรวมถึง เบาะหลังด้วย ข. ถ้ารถคุณจอดอยู่ข้างรถตู้คันใหญ่ แนะนำให้ขึ้นรถด้านประตูผู้โดยสาร
ผู้ร้ายส่วนใหญ่มักฉวยโอกาสจังหวะที่เหยื่อกำลังเปิดประตูรถลากตัวเหยื่อขึ้นรถตู้ ค. ดูรถที่จอดอยู่ข้างรถคุณทั้งฝั่งซ้ายและขวาหากมีผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวตรงเบาะ ด้านที่ใกล้รถคุณ
ควรหลีกเลี่ยงด้วยการเดินกลับเข้าไปในห้างหรือที่ทำงาน แล้วขอให้เจ้าหน้าที่ห้าง หรือ รปภ. หรือเพื่อนชายเดินกลับมาส่งที่รถ ปลอดภัยไว้ก่อน ดีกว่าต้องเสียใจทีหลัง (โดนหาว่าประสาทดีกว่าต้องซี้ม่องเซ็ก)
6.
ควรใช้ลิฟต์แทนการขึ้นลงทางบันได บันไดเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดถ้าอยู่คนเดียว รวมทั้งเป็นจุดที่เกิดอาชญากรรมได้ดีที่สุด
7. หากผู้ร้ายมีปืน และคุณยังไม่ได้ถูกจี้ .. วิ่งหนี! โอกาสที่มันจะยิงโดนคุณมีเพียง 4 ใน 100
ครั้งเท่านั้น (เป้าเคลื่อนที่) และถึงจะยิงโดน ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ถูกอวัยวะสำคัญ เพราะงั้น วิ่งลูกเดียว!
8. ผู้หญิงมักใจอ่อน ขี้สงสารและเห็นอกเห็นใจไม่ต้องเลย เพราะอาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย ข่มขืน
หรือฆาตกรรมได้ กรณีนี้มีตัวอย่างมาแล้ว ฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งในอเมริกาชื่อ เท็ด เบินดี้ม เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีการศึกษา มักใช้กลวิธีเรียกร้องความสงสารจากเหยื่อเพศหญิงซึ่งไม่ได้เกิดความสงสัยสักนิด
เขาหลอกลวงเหยื่อให้ตายใจด้วยการเดิน [size=4]โดยอาศัยไม้เท้า หรือแสร้งทำขากะเผลก จากนั้นจะขอ
14.อยู่กรุงเทพต้องอ่าน มีตัวอย่างของเพื่อนพี่ที่พบเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายๆ กันนี้ เรื่องแรก
เพื่อนคนนี้เป็นผู้ชายได้ขับรถไปติดสี่แยกไฟแดงแถววิทยุและไม่ได้ล็อคประตูรถขณะที่รอสัญญาณไฟอยู่นั้นจู่ๆ ก็มีสาวเจ้าอายุอยู่ในวัยนักศึกษา ได้เปิดประตูก้าวเข้ามานั่งหน้ารถ ด้วยและเอ่ยปากขอเงิน
ถ้าไม่ให้จะ ตะโกนให้คนช่วยว่ากระทำมิดีมิร้ายกับเธอ ด้วยความตกใจ เจ้าหนุ่ม เพื่อนพี่ก็ต้องต่อรองแล้วให้เงินไป ก้อนหนึ่งเพื่อให้หล่อนรีบๆ
ลงไปจากรถโดยเร็วที่สุดเพราะไม่แน่ใจว่าจะมีสมัครพรรคของหล่อนอยู่ แถวนั้นด้วยหรือเปล่า
เรื่องที่สอง
รายนี้ไปด้วยกันทั้งสองคนสามีภรรยาได้ไปงานแต่งงานและเมื่อเลิกจากงานจะขับรถกลับบ้านไปทางถนนศรีนครินทร์
ขณะนั้นเป็นเวลา ประมาณ 4ทุ่มขณะที่ขับรถอยู่นั้นก็มีรถอีกคันขับตามหลังมาและ เร่งความเร็วรถมาชนท้ายรถและได้ลงมาหาเรื่องว่ารถคันหน้าเบรก กระทันหันต้องการเรียกค่าเสียหาย โดยรถคันที่ขับมาชนนั้นมีผู้ชาย
นั่งมาด้วยกันประมาณ 5 คน ส่วนใหญ่ใส่กางเกงขาสั้นและเสื้อยืด แบบเสื้อกล้าม และจะขอค่าเสียหาย 3,000บาท ซึ่งสามีภรรยาทั้งคู่เมื่อเห็นการแต่งตัวก็ไม่กล้าเปิดประตูรถลงไปคุยด้วย
แต่จะพยายามคุยดีด้วยในทำนองยินยอมจ่ายให้ แต่เงินไม่พอขอให้ไป ขับรถตามไปเอาเงินที่บ้าน ซึ่งกลุ่มชายทั้ง 5 ก็ยินยอมขับรถตามไป แต่ตัวสามีได้หลอกขับรถให้ตามไปที่โกดังของพี่ชายที่อยู่ในย่านนั้น
และมีคนงานของพี่ชายเป็นจำนวนมากอยู่ด้วย เมื่อไปถึงก็ให้หัวหน้า คนงานเป็นผู้เจราจาความเสียหายใหม่ ในที่สุดชายทั้ง 5 ก็ยอมรับเงิน ไป 500บาท เพราะรู้ว่าสถานะการณ์เสียเปรียบแล้ว
ทั้งสองเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าอาชีพใหม่ที่น่าอันตรายสำหรับเราเกิดได้ตลอดเวลา ข้อสำคัญเราต้องอย่าประมาทและให้มีสติ เรื่องที่ 3 เมื่อวันศุกร์ประมาณ
2ทุ่มออกจากที่ทำงานแล้วเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เพื่อไปที่รถที่จอดไว้ในลานจอดรถ ตอนที่กำลังเดินไปที่ ลานจอดรถพอดีน้องสาวโทรมาเลยรับโทรศัพท์ แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ
พอถึงรถก็ไขกุญแจเข้าไปนั่งคุยโทรศัพท์ต่อ โดยทียังไม่ได้ล็อครถ แล้วก็ไม่ได้สังเกตรอบๆตัวด้วย สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูรถ แล้วพูดว่าถ้าไม่อยากโดนแทงให้ส่งกระเป๋ามา ก็ตกใจมากหันไปมอง
ก็เห็นผู้ชายคนนึงถือมีดพกจี้ไว้ที่ข้างลำตัวเราเค้ามากันสองคน คนหนึ่งเป็นคนขับนั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ ตอนนั้นทั้งกลัวทั้งตกใจ ก็ร้องกรี๊ดเลยละ แล้วมันก็พยายามจะเอากระเป๋าสะพายที่คล้อง
อยู่บนไหล่ของเราไป ตอนนั้นไม่ทันคิดอะไรก็พยายามแย่งเอาไว้ ไม่ให้มันเอาไป แต่ในที่สุดมันก็เอาไปจนได้ แถมยังดึงเอาโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือเราไปด้วย แล้วก็ขับมอเตอร์ไซค์หนีไป ตกใจมากก็วิ่งตามแล้วร้องเรียกให้คนช่วย
เชื่อมั๊ยแถวๆนั้นระยะห่างไม่ถึง 20เมตร มีพนักงานร้านอาหารที่เลิกงานแล้วนั่งกันอยู่ 3-4คน ส่วนอีกด้านนึง ก็เป็นด้านหลังของร้านค้า 4-5ร้านที่ยังไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่มีใครเห็น
เพราะมันเข้ามาเงียบๆแล้วก็มีรถคันอื่นที่จอดอยู่บังอยู่ด้วย ก็เลย ขับรถไปจอดไว้หน้าออฟฟิศแล้วก็รีบโทรอายัดบัตรต่างๆทั้งหลาย ดีที่ว่าในออฟฟิศยังมีคนอยู่เยอะ ก็เลยช่วยกันหาเบอร์ต่างๆ แล้วช่วยกันโทร.
เพราะเราตกใจมากทำอะไรแทบไม่ถูกเลย แล้วก็ไปแจ้งความ ก็เลยอยากเตือนให้เพื่อนๆทุกคน โดยเฉพาะ เพื่อนผู้หญิงกลับบ้านดึกๆต้องระวัง หาคนเดินไปเป็นเพื่อน เข้ารถก็รีบล็อกประตู อย่าประมาทว่ายังไม่ดึกมาก หรือบริเวณนั้น
ไม่เปลี่ยวอย่างที่โดนมา แถวนั้นก็ถือว่าไม่มืดมากยังมีคนอยู่ ร้านค้าก็ยังเปิดอยู่ ยังดีที่มันไม่ได้ทำร้ายร่างกายเราด้วยอาจเป็นเพราะนั่งอยู่ในรถด้วย ตอนนั้นกลัวว่ามันจะฉุดเราไปด้วย ช่วงที่เกิดเหตุการณ์มันสั้นมาก
ไม่กี่นาทีเท่านั้นเองแต่ทำให้เรา กลัวมากเลย วันนี้ออกไปข้างนอกตอนกลางวันเจอใครเดินผ่าน ยังระแวงเลย เจอคนรู้จักก็เตือนให้ระวังเรื่องแบบนี้นะไม่อยากให้ใครเจอแบบนี้อีก
เรื่องที่ 4 อันตรายที่ลานจอดรถ
เมื่อประมาณเดือนกันยายนหรือตุลาคมไม่ค่อยแน่ใจ ดิฉันไปซื้อของที่เมืองทองซีฟู๊ดเมื่อซื้อของเสร็จดิฉันก็เดินมาที่ลานจอดรถของเมืองทองหลังซีฟู๊ด ถ้าผู้ที่เคยไปใช้บริการจะรู้ว่ามืด
แต่ความที่อยู่ที่นี่จนชินก็เลยไม่รู้สึกอะไร ดิฉันเปิดประตูรถเข้าไปนั่งในรถด้วยนิสัยที่เห่อรถใหม่ที่มีเซ้นทรัลล็อก (เพราะรถคันเก่าเป็นระบบเดินล็อกทั้งสี่ประตูน่าเบื่อ)ดินก็จะกดล็อกประตูทันที
เพราะชอบเสียงเวลาดังปิดทั้งสี่ประตู พอดิฉันกดปิดปุ๊บ มีเสียงเหมือนคนกระชากประตูรถดิฉันแต่หลุดมือเพราะดิฉันกดล็อกเอาไว้ เมื่อดิฉันหันไปมองก็เห็นเป็นผู้ชายยืนจ้องอยู่ ดิฉันจึงหยิบมือถือกด 191 โชว์ให้มันเห็น
ได้ผลค่ะ มันวิ่งหนีไปเลย ดิฉันก็ไม่ได้วิ่งตามหรอกค่ะ กลัว แต่มานึกดูอีกทีว่าโดยปกตินิสัยคนเราเมื่อขึ้นรถแล้วจะต้องสตาร์ทรถก่อนจึงค่อยกด แต่บังเอิญดิฉันเห่อรถใหม่เรื่องร้าย ๆ
จึงไม่เกิดขึ้นดิฉันหวังว่าทุกท่านที่อ่านเรื่องของดิฉันคงเก็บไว้เป็นอุทาหรณ์ได้บ้างนะคะ แต่ปัจจุบันนี้ที่จอดรถที่เมืองมี รปภ. รักษาการสอดส่งดูแลจากหอคอยเบื้องสูงคงไม่มีเหตการณ์ร้าย ๆ แบบนี้อีก แต่ที่อื่นไม่แน่นะคะ
เพิ่มเติม ถ้าใครอยู่แถว สวนหลวง ประเวศ สุขุมวิท อ่อนนุช ตอนนี้มีมอเตอร์ไซด์ ทำทีว่าจะขับรถชน หรือ ขับมาใกล้ๆ ตรงที่เรายืนหรือเดินอยู่ ให้ห่างๆ ไว้ เพราะว่า
มันจะดึงของที่ค่าที่อยู่ในตัวเรา เช่น กระเป๋าถือ สร้อยทอง โทรศัพท์ ส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ติดป้ายทะเบียนรถ หรือ ขับมา 2 คนระวังไว้เลยจะดีกว่า
15. เรื่อง: ATM Warning ระวังภัยจากตู้ ATM
ขอให้ทุกคนระวังไว้เมื่อท่านกด ATM อยู่แล้วมีคนอยู่ด้านหลังให้ระวังไว้ เพราะเขาจะจำรหัสที่ท่านกดเพราะเมื่อเวลาเรากดเงินด้วย ATM มันจะมีเสียง ซึ่งถ้าใครหูดีๆ จะจำได้ว่ากดเลขอะไรไปบ้างสี่ตัว
เพราะส่วนให้แล้วร้อยละ70% ของผู้ที่กดเงินจากตู้ ATM จะทิ้ง slipเงินลงถังขยะ ซึ่งมันมีประโยชน์สำหรับผู้ที่คิดชั่วร้ายได้ คือเขาจะเอา slipนั้น มาใช้ประโยชน์จากเงินในบัญชีของเรา เพราะใน
slipจะมีเลขที่บัญชีสิบตัวของเราปรากฏอยู่ โดยที่ธนาคารแต่ละธนาคารจะมีการโอนเงินทางโทรศัพท์ โดยผู้ไม่ประสงค์ดีนี้จะโทรไปยังธนาคาร เพื่อโอนเงินผ่านโทรศัพท์ตามหมายเลขแล้วแต่ธนาคาร
เมื่อโทรไปจะมีการบอกให้ใส่เลขบัญชีธนาคาร ซึ่งเขาก็จะได้จาก slipของเราที่ทิ้งไว้แล้ว เมื่อกดเลขบัญชีธนาคารเสร็จจะมีการให้ใส่รหัสประจำตัวสี่ตัว ซึ่งเมื่อเรากดเงินนั้นเขาก็จะจำไว้แล้วว่าหมายเลขอะไร
จากนั้นก็กดหมายเลขนั้นลงไป แล้วเขาก็โอนเงินเข้าบัญชีของเขาได้ตามสบายตามที่เขาต้องการ ข้อแตกต่างคือถ้าโอนเงินทางโทรศัพท์จะสามารถโอนเงินได้สูงสุด 5 แสนบาทต่อครั้ง ซึ่งต่างจาก ATM มาก
ดังนั้นถ้าใครมีเงินในบัญชีมากๆให้ระวังเอาไว้ด้วย หรือเขาอาจไม่เอาไปมากๆ ถ้าเขาเอาไปครั้งละประมาณห้าร้อย,พัน ท่านก็ไม่รู้ถ้าเขาทำบ่อยๆ ดังนั้นเมื่อท่านกดเงินแล้วก็ให้เก็บ slip เงินไว้ด้วย
ความรู้ทั้งหมดนี้ได้มาจากพนักงานที่ทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพฯ
16.แก็งค์ป้ายยา อยากส่งให้ท่านเพื่อระแวงระวังตัวไว้ครับ ถ้าให้ดีและเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็ fwd ด้วยครับ
วันศุกร์ที่ผ่านมาผมก็ทำงานปกติครับ คือเลิกทุ่มเหมือนทุกๆวัน มาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์หน้าเมเจอร์รัชโยธินตามปกติ วันนั้นมีผู้คนรอต่อรถเมล์เป็นจำนวนมาก มีทั้งพนักงานที่เลิกงานจากเมเจอร์เอง
และคนทั่วๆไปที่มาดูหนังครับ ด้วยความที่คนเยอะผมก็ปลีกวิเวกมายืนคนเดียว แต่ก็มิได้ยืนห่างจากคนทั่วไปนัก พอรถเมล์มาแต่ละคนก็วิ่งกรูออกไปเพื่อให้ทันรถเมล์ (เพราะอย่างที่ทราบๆกันตอนกลางคืนเลนที่ 1 จะถูกยึดโดยรถ
taxiและแล้ว อยู่ดีๆผมก็มีความรู้สึกว่าเย็นๆ และวูบที่แขนขวา แต่ด้วยความมืดก็ไม่เห็นอะไร จะมีก็แต่เห็นผู้ชายคนหนึ่งมายืนข้างๆ ด้านขวามือ มองจากหน้าตาและการแต่งตัวที่ดีแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรครับ
ก็เห็นแต่ว่าเค้ายิ้มให้เท่านั้น แต่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกวูบ หน้ามืด ตาลายเวียนหัว ง่วงนอนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ด้วยความที่ผมพกยาดมติดตัวเป็นประจำ ก็หยิบขึ้นมาดม
เพราะตอนนั้นคิดแค่ว่าสงสัยจะเป็นไข้ก็เลยไม่ได้เอะใจอะไรทั้งนั้น ผ่านไปแป๊ปนึง รถเมล์อีกคันก็มา จู่ๆก็มีชายหญิงกลุ่มนึงวิ่งกรูมาจากด้านหลัง เพื่อวิ่งออกไปขึ้นรถ แต่แล้วก็มีความรู้สึกว่าที่ข้อมือขวาเย็น
วูบๆขึ้นมาอีกครั้ง
จู่ๆ ก็มีชายหญิงคู่นึงแต่งตัวเป็นพนักงานออฟฟิศ ชาร์จเข้าหาผมที่ด้านซ้าย แล้วก็เขย่าแขนผมและถามว่า " น้องเป็นอะไรหรือเปล่าครับ/ค่ะ
เพราะพี่รู้สึกว่าน้องจะไม่สบายนะ ดูหน้าซีดๆไป" บอกตรงๆครับตอนนั้นหน้ามืด ตาลาย เวียนหัวและง่วงขึ้นมากกว่าครั้งแรก ทุกอย่างอื้ออึงไปหมด มองอะไรๆไม่ชัด แต่หูยังได้ยินเสียงชายหญิงคู่นั้น
ถามอะไรก็ไม่รู้อีกหลายประโยค ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับ ก็ตอบไปแค่ " ครับๆๆๆๆ" แล้วก็เดินเซไป 2-3 ก้าว จู่ๆ ผู้ชายที่ผมเห็นครั้งแรกก็เดินเข้ามาหาผมด้วย คราวนี้กลายเป็นว่ามีผู้ชาย1คน(มาเห็นหน้าชัดๆ
เป็นเกย์ครับ) อยู่ด้านซ้ายมือ และชายหญิง 1 คู่ อยู่ด้านขวามือ ด้วยความที่ความซวยมันยังไม่มาเยือนหรืออะไรๆ มาดลใจก็ไม่รู้ครับ สติสุดท้ายที่ผมพอจะจำได้คือวิ่งออกไปนอกถนน โบกมือเรียกรถ taxi
ที่วิ่งมาอย่างเร็ว และกระโดดขึ้นทันที คนขับรถก็มองผมด้วยอาการหน้าตาตื่นเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเลยบอกว่าเดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟังน่ะ ตอนนี้ไปส่งผมที่บ้านก่อนแล้วกัน ตอนนั้นเอง ผมหันไปมองคนทั้ง 3
คนที่เข้าชาร์จผม ต่างคนต่างมองหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ พูดอะไรไม่รู้ พอตั้งสติได้บ้าง (แต่ยังมึนหัวอยู่มากครับ) ก็เลยเล่าให้คนขับรถฟังว่า" พี่ผมโดนป้ายยา" แรกๆคนขับก็ไม่เชื่อครับ
ผมเลยยื่นแขนให้ดู แค่นั้นแหละ เขาก็เข้าใจเพราะที่ข้อมือกับแขนขวา มันมีรอยขาวๆเป็นเมือกๆ ติดอยู่ที่แขน ผมไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร รู้แต่เพียงว่า ถ้าผมวูบไป คนทั้ง 3 ที่เอาของเหลวมาป้ายที่แขน
ทำให้เกิดความรู้สึกง่วงนอน พวกเค้าอาจพาผมให้ไปกดเงินในเอทีเอ็ม รูดทรัพย์ เอามือถือไปก็ได้ แต่ถ้าวันนั้นความโชคร้ายไปเกิดที่ผู้หญิงหล่ะครับ ผมไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่ตามมาเลย มันอาจเลยเถิดไปจนถึงขั้นพาไปข่มขืน
ถ่ายรูปไว้แบลคเมล์ และฆ่าชิงทรัพย์ก็อาจเป็นได้ครับ ใครก็ตามที่ต้องกลับบ้านคนเดียว ในทั้งที่เปลี่ยวและคนพลุกพล่านต้องระวังตัวนะครับ ยิ่งคนหน้าตาดี แต่งตัวดีแล้วด้วย ยิ่งน่ากลัว ระวังตัวกันด้วยนะครับ....
นอกจากยาป้าย แล้วยังมียาอีกชนิดนึง เพื่อนเราเคยเกือบโดน บนรถเมล์ สาย 47 เค้านั่งอยู่คนเดียวกำลังจะกลับถึงบ้านแล้ว รู้สึกแปลก เหมือนมีผู้ชาย มองอยู่ข้างหลัง 2-3 คน พอถึงป้ายราชดำเนิน ผู้ชาย 1ในนั้น
ก็เดินมาหาเค้าแล้ว ยื่นกระดาษที่พับไว้แผ่นนึงให้เค้า แต่ไม่ได้รับ เพราะปกติเป็นคนขี้ระแวงอยู่แล้ว แต่ชายคนนั้นก็คะยั้นคะยอให้เค้ารับให้ได้.... แต่เค้าก็ไม่รับอยู่ดี กลุ่มคนพวกนั้น ก็เลยรีบลงจากรถ
พร้อมกับมองขึ้นด้วย ท่าทางที่หงุดหงิด พอกลับถึงบ้าน เลยเล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น พ่อเค้าก็ตกใจ ว่าเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว มันเกิดกับคนแถวๆบ้านนั้นหน่ะแหละ... คือโดนยื่นกระดาษเหมือนกัน แล้ว
ก็รับมา พอเปิดดู ก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้อีกที ก็อยู่สนามหลวง แต่ไม่มีของติดตัวเลย ทั้งกระเป๋าตังและสร้อยคอ ไปแจ้งความ ก็ทำอะไรใครไม่ได้............. สรุปได้ว่า มันเป็นยา มึน ชนิดนึง มีลักษณะเป็นผงๆ
เมื่อเปิดมามันก็จะฟุ้งออกมาทันที ใครโดนยานี้จะ คล้ายกับโดนยาป้าย ช่วยๆ ระวังกันด้วยนะคับ... ( ถึงไม่ใช้ยา ก็โดนตีหัว ขโมยโทรศัพท์ได้เหมือนกัน...เหอๆๆ) 17. หลอกขายรถมือสองเน่าๆ รู้ไหมว่า
เดี๋ยวนี้สาวๆ หลายคนเขามีเงินใช้กันสบายมือ เพราะหันมาจับธุรกิจใหม่ ได้เงินง่ายๆ โดยไม่ ต้องเปลืองตัว ไม่ต้องรอแบมือขอเงินจากพ่อแม่
งานที่ว่ามันเกิดขึ้นเพราะมีคนอุบาทว์คิดไม่ซื่อหาอุบายหลอกคนอื่นด้วยการเอาชุดนักศึกษามาสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเอง โดยแบ่งปันผลประโยชน์เพียงเศษเสี้ยวให้กับเจ้าของชุดนักศึกษาคนนั้น
น.ส.ก้อย (นามสมมุติ)
นักศึกษาสาววัย 19 ปี สาวน้อยเป็นหน้าม้าขายรถให้กับเต็นท์รถแห่งหนึ่ง เธอ เล่าอย่างไม่อายใครเพราะต้องการให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจคนที่อาจจะโดนหลอกว่า ปัจจุบันเต็นท์ขายรถ มือสองมักจะมาจ้างนักศึกษาสาวๆ
ให้มาเป็นหน้าม้าขายรถ โดยจ้างให้เป็นเจ้าของรถยนต์ และลง โฆษณาทางอินเทอร์เน็ต
"คนที่ต้องการซื้อรถมือสองส่วนใหญ่จะเปิดดูจากอินเทอร์เน็ต โดยหวังว่าอยากได้รถบ้าน รถมือเดียว
หวังอยากได้รถที่เจ้าของขายเอง เมื่อความต้องการของคนเป็นเช่นนี้ ทางเจ้าของเต็นท์จึงจำเป็นต้องจ้างพวกเราให้มาหลอกขายรถ พอนัดกันเรียบร้อยแล้ว ก้อยจะเป็นคนขับรถไปให้คนซื้อดู ประโยคที่ใช้ ประจำคือ
รถคันนี้พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้กำลังจะเรียนจบตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอกเลยอยากให้ขายในราคาถูก แล้วก็ใช้เสน่ห์อ้อนให้ช่วยซื้อหน่อย ไม่นานคนที่จะซื้อรถก็จะใจอ่อน
พอตกลงเซ็นสัญญาซื้อแล้ว เจ้าของเต็นท์จะให้เงินค่าจ้างตั้งแต่ 2,500-5,000 บาท ซึ่งค่าจ้างจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับการตั้งราคาในตอนแรกด้วย"
อีกคน น.ส.เปิ้ล (นามสมมุติ) วัย 24 ปี แม้เธอจะจบการศึกษาไปแล้ว
เนื่องจากยังหางานทำไม่ได้ เธอจึงหันมายึดอาชีพเป็นหน้าม้าขายรถ เปิ้ลเล่าว่า เธอเคยขายรถมาแล้ว 6 คัน ทุกครั้งที่ไปขายรถสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ชุดนักศึกษา
ที่สำคัญลูกค้าที่ทางเต็นท์ติดต่อให้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายเพราะจะขายง่ายกว่า ซึ่งก็ไม่ใช่กับผู้ชายทุกคน ดังนั้น เจ้าของเต็นท์จึงเลือกคนที่เป็นพวกผู้ชายหัวงูให้มาซื้อกับเรา
แต่ถึงอย่างไรการทำงานตรงนี้จะจบลงแค่เมื่อขายรถได้เท่านั้น จากนั้นเบอร์ติดต่อที่ให้ไว้กับลูกค้าทางเต็นท์ขายรถก็ จะทิ้งไปเลยหรือไม่ก็เอาไปขายต่อ
"การทำงานตรงนี้จะว่ายากก็ยาก
จะว่าง่ายก็ง่ายมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของคนขาย แต่เปิ้ลทำได้เพียง 5-6 เดือนก็เลิกเจ้าของเต็นท์เกรงว่าลูกค้าจะจับได้ เพราะทำงานคล่องเกินไป เขาอยากได้เด็กหน้า ใหม่ๆ
เปลี่ยนเวียนกันเข้ามาทำซึ่งจะทำให้คนซื้อเชื่อได้มากกว่า เวลาที่นัดกันไปดูรถจะนัดช่วงเย็นๆ ค่ำๆ โดยจะอ้างว่าเพิ่งเลิกเรียน ลูกค้าเขาจะดูรถไม่ค่อยถนัด เพราะมันมืดด้วย พอถามเรื่องเครื่องยนต์ เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง
ตอบอย่างเดียวว่าไม่เคยไปทำอะไร รถไม่เคยชน เป็นรถบ้าน พ่อเพิ่งซื้อให้ตอนเรียนจบ พอดีจะไปเรียนต่างประเทศ คุณพ่อ คุณแม่ก็มีรถแล้ว เลยอยากขายเอาเงินติดกระเป๋าไปเมืองนอกดีกว่า พี่ช่วยซื้อหน่อยนะ ตื้อไว้อ้อนไว้
เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนเอง ที่ผ่านมาขายรถ 4 คัน แต่ตอนนี้เลิกทำแล้ว เพราะมีงานประจำทำแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเงินทางนี้อีกแล้ว เลยอยากนำเรื่องเหล่านี้มาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอื่น โดยเฉพาะผู้ชาย"
เท่าที่นำข้อมูลของเพื่อนๆ มาประมวล พบว่า ลูกค้าที่โดนหลอกส่วนใหญ่จะเปิดดูประกาศขายรถจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีอยู่เกลื่อน เจ้าของเต็นท์จะให้ซิมมือถือกับนักศึกษาคนที่เข้ามาทำงานเพื่อให้การติดต่อกันมีความสมจริงสมจัง
เมื่องานเสร็จเบอร์ทุกอย่างก็ถูกปิดไม่ได้ถูกใช้อีก เผื่อว่ารถคันที่ขายมีปัญหา คนซื้อจะไม่สามารถตามตัวนักศึกษาสาวคนดังกล่าวได้เลย และจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อนักศึกษาสาวคนนั้น คนที่จะมาทำงานตรงนี้ได้ นอกจากจะต้องพูดเก่ง
มีไหวพริบแล้ว ยังต้องสวย หน้าใสวัยนักศึกษาอีกด้วย เรียกว่างานนี้สาวๆ ไม่ต้องเสียตัว ไม่ต้องเสียการเรียนเพราะใช้เวลาทำงานหลังเลิกเรียนเพียงไม่ถึง ชั่วโมง แต่ที่เสียคือเสียชื่อ เสียความรู้สึก แม้สาวๆ
เหล่านี้จะไม่ใช่ภาพรวมของนักศึกษาทั้งหมด แต่พวกเธอก็อาศัยชุดนักศึกษาไปหาเงินเข้ากระเป๋าไม่ใช่หรือ !!!
ปัจจุบันมีพ่อค้าหัวใสหลายคนทำเช่นนี้ เพราะอดรนทนไม่ไหวจึงอยากนำเรื่องราวดังกล่าวมาเปิดเผยให้ได้รับรู้กัน
นี่ขณะเป็นผู้หญิงนะ รู้แล้วยังหนาวเลย เป็นยังไงล่ะ บรรดาผู้ชายที่ชอบแพ้เครื่องแบบนักศึกษา เจอไม้นี้ของบรรดาสาวๆ เข้าไป "จ๋อย" เลยมั๊ย แล้วฉันสมควรที่จะสงสารผู้ชายเหล่านี้ดีไหมเนี่ย
|