บุคลากร บริการLinks

ชรินทร์ นันทนาคร

ขุนแผน ลูกแม่ระมิงค์
จากข้อเขียนของ สุรชัย ดิลกวิลาศ

 อันชีวิตของคนเรานั้น มากมายร้อยพันล้วนด้วยเรื่องราวที่ต้องพบพานผ่านมาจนตลอดตั้งแต่เมื่อแรกเกิดลืมตาดูโลก ตราบจนชีวิตลับดับสิ้นไป ล้วนแต่ต้องได้มีแต่เรื่องราวสุขสันต์จนถึงทุกข์แสนเศร้าจนยากจะลืม สุดแต่การกระทำ บุญกรรมวาสนาของแต่ละผู้แต่ละคนไป
       อาจินต์ ปัญจพรรค์ พี่ชายที่แสนดีของผมเคยกล่าวเขียนนำให้ในบทความชิ้นหนึ่ง ที่ผมเขียนส่งในนิตยสาร โทรทัศน์รายเดือน อันเป็นนิตยสารประจำ สถานีไทยโทรทัศน์ หรือที่เรียกคุ้นกันว่า สถานีโทรทัศน์ช่องสี่บางขุนพรหม เมื่อเกือบสี่สิบปีแล้ว ในทำนองว่า
         "ชีวิตคนเรา ถ้าเลือกหั่นออกมาแต่ละท่อนแต่ละตอน จะได้เรื่องราวไม่ต่างอะไรกับบทละครแห่งชีวิตที่น่าสนุกและประทับใจอย่างมากมายทีเดียว"
         ผมนึกถึงเขาขึ้นมา นึกถึงเพื่อนคนนี้ของผมขึ้นมา ก็ด้วยเพิ่งจะสะดุดตาเข้ากับข่าวอันเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองวัยครบ 6 รอบ เจ็ดสิบสองปีของอดีตศิลปินตลกผู้มีชื่อเสียงกระเดื่องนามในยุคสมันหนึ่ง เมื่อกว่าสามสิบปี ดอกดิน กัญญามาลย์ และ ไล่ๆกันมาไม่กี่วัน อดีตนางเอกที่อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นนางเอกคู่ขวัญทีเกี่ยวกันกับงานสร้างและแสดงภาพยนตร์ไทย ที่เริ่มตั้งแต่วัยย่างเข้าสู่วงการธุรกิจบันเทิงภาพยนตร์ โดยฝ่ายสร้างได้แก่ ดอกดิน กัญญามาลย์ ดังกล่าว และฝ่ายที่ได้ชื่อว่า ก้าวสู่วัยแสดงคือ เพชรา เชาวราษฎร์ ซึ่งกำลังถูกกล่าวขวัญถึงชีวิตที่มืดมิดอันธกาลในดวงตามานานนับสิบๆปี และกำลังทำท่าที่จะลืมตามองดูโลกอีกครั้ง ด้วยความหวังของคนรอบข้าง และตัวเธอเองที่เฝ้ารอวันนั้น
         ดอกดิน กัญญามาลย์ ต่างเป็นคู่ขวัญกับ เพชรา เชาวราษฎร์ ที่เมื่อได้มาร่วมงานทางด้านการสร้างและแสดง ต่างก็ก้าวหน้าชื่อเสียงลือลั่นไปสู่ความมีฐานะทั้งเงินทองและชื่อเสียงด้วยกันทั้งคู่
         ที่ย้อนอดีตของ อดีตนางเอกและผู้อำนวยการสร้าง ผู้มีพระคุณต่อชีวิตของอดีตดาราสาวผู้นี้ขึ้นมา ก็เพื่อท้าวความถึงช่วงชีวิตของเพื่อนผม ชรินทร์ นันทนาคร หรือ ชรินทร์ งามเมืองในอดีต และหรือ "มัย" ของเพื่อนสนิท
         ซึ่งช่วงชีวิตหนึ่งของนักร้องหนุ่มลูกแม่ระมิงค์ เชียงใหม่ ผู้เคยสร้างประวัติความรักสนั่นก้องทั่วประเทศมาแล้ว ต่อกรณี ทาษเทวีผู้หาญเด็ดดอกฟ้า จนกลายเป็นตำนานความรักและตำนานแห่งบทเพลงทาษเทวีกับเด็ดดอกรัก และอีกหลายๆเพลงที่ยังอยู่ในความทรงจำของหนุ่มสาวยุคก่อนเก่าและถูกรื้อฟื้นเป็นเพลงใหม่ในยุคสมัยนี้
 
         ชรินทร์ นันทนาคร ร่ำเรียนเขียนอ่านจบมาจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอมเมอร์ช หรือ อัสสัมชัญพาณิชย์ การทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าทางด้านธุรกิจหรือส่วนตัวมักจะมีการวางแผน เตรียมแผนโดยตลอดจนเพื่อนฝูงที่สนิทสนมมักจะเรียกเขาว่า ขุนแผน
         ขุนแผน ตามความหมายที่พวกเรามอบให้แก่เขา นั้นหาใช่ความเจ้าชู้ใช้คารมหรือรูปโฉมเล่ห์หลอกอิสตรีก็หาไม่ ขุนแผนตามความหมายคือการทำอะไรจะต้องมีขั้นตอน มีแผนการขั้นตอนเสียทุกอย่าง
อย่างช่วงนั้น รายการรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์ไทยเรื่องต่างๆ นิยมจ้างวงดนตรีและนักร้องชั้นนำไปโชว์เป็นรายการพิเศษ และมีบ่อยๆเป็นประจำ บางครั้งก็มีรีวิวละครเพลงสั้นๆ โดยนักร้องชั้นนำจับคู่รีวิวกัน สุเทพ วงศ์กำแหง มักจับคู่ร้องเพลงแสดงละครเพลงกับ สวลี ผกาพันธ์บ้าง เพ็ญศรี พุ่มชูศรีบ้าง ชรินทร์ก็ต้องทำให้แปลกกว่าใครเขาอื่น เขาเลือก รวงทอง ทองลั่นทม เป็นคู่แสดง และรีวิวประเภทนี้ แพร่ความนิยมไปถึงต่างจังหวัด ขุนแผน ก็เริ่มแผนของเขา
         เขาวางแผนสร้างข่าวให้แฟนเพลงสนใจในการที่จะจับคู่ร้องเพลงประจำกับ รวงทอง ทองลั่นทม ตามรายการเพลงในรอบกาล่าพลีเมียร์ ซึ่งได้จัดให้เปิดทำการฉายภาพยนตร์ไทยเป็นรอบแรก ตามโรงภาพยนตร์ที่นิยมกันในสมัยหนึ่ง และเกิดเป็นความนิยม
         มีอยู่ครั้งหนึ่งกลับมาจากที่ได้รับการติดต่อว่าจ้างไปร้องเพลงร่วมกับนักร้องเจ้าของสมญาเสียงน้ำเซาะหิน รวงทอง ทองลั่นทม ที่ภูเก็ต เขาก็แสร้งตีสีหน้าแสดงความวุ่นวายใจไปเตร่แถวถนนหนังสือที่มีนิตยสารบันเทิงหลายฉบับมีสำนักงานอยู่ที่นั่น คือย่านถนนนางเลิ้ง ตอนระหว่างถนนกระออมและสี่แยกจักรพรรดิพงษ์
         เจตน์ จริยา นักข่าวบันเทิงติดกับดักพอดี เมื่อถามถึงสาเหตุเขาก็ทำท่าทางบ่ายเบี่ยงอย่างเสียไม่ได้ บุ้ยใบ้ให้ผมซึ่งร่วมรู้กับแผนการของเขา เพราะเขาสู้อุตส่าห์มาเตี๊ยมถึงที่บ้าน
         "ไปถามไอ้แป๊ะมันเถอะ มันรู้เรื่องดี" โบ้ยมาให้ผม ที่รอจังหวะอยู่แล้ว
         ผมก็ฉอดๆตามแผนบอกเล่าไปในเชิงที่ว่าผู้คนเล่าลือหาว่ามีอะไรกุ๊กกิ๊กกับนักร้องที่ร่วมเดินทางไปร้องเพลงด้วยกัน ทำให้เขากลุ้มใจและพลอยเสียใจไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
         แน่ละ แผนนี้ รวงทอง ทองลั่นทมกับสามีรู้แผนเป็นอย่างดี แผนเชยๆเก่าๆอย่างนี้แหละ พอเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ รายการกาล่าพลีเมียร์ภาพยนตร์ไทยเรื่องต่อมา ข้อความที่ลงประกาศเสนอรายการบันเทิงในรอบฉายดังกล่าว มีถ้อยคำประกาศว่า พิเศษ ชรินทร์ กับ รวงทอง เผยหัวใจกรณีข่าวลือเรื่องชู้สาวหมดเปลือกซึ่งก็ไม่มีใครลือหรอก ช่วยกันสร้างขึ้นมาเองแท้ๆ แฟนภาพยนตร์ แฟนเพลงก็สนใจกันไม่ใช่น้อย
         และวิธีการสร้างข่าวลือ เพื่อให้เป็นข่าวกันในวงการภาพยนตร์ไทยก็มีกันเรื่อยมา
         มุขอย่างนี้ เคยมีระดับดาราพระเอกนางเอกก็เอามาใช้กันบ่อยๆ ซ้ำๆซากๆ คิดว่าคงผ่านสายตากันมาบ้าง
           ขุนแผน ชรินทร์สร้างข่าวให้เป็นข่าว อย่างตอนสั่งบอลลูนใหญ่อัดแก๊สติดป้ายชื่อภาพยนตร์ที่เขาสร้างลอยบนท้องฟ้าเหนือโรงภาพยนต์เอ็มไพร์ได้แค่สองวันแก๊สในบอลลูนรั่วทำให้บอลลูนร่วงลงมากองกับพื้น สมองอันเฉียบแหลมฉับไวของเขา รีบออกข่าวเรียกร้องความเห็นใจทันทีโดยให้ข่าวในทำนองว่า ศัตรูผู้ประสงค์ร้าย ลอบใช้ปืนลูกกรดยิงบอลลูนจนทะลุ ข่าวอย่างนี้เขาก็เคยสร้างมาแล้ว

ิ์แต่ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น"ขุนแผน" เป็นนักวางแผนก็เถอะ ฉลาดปราดเปรื่องแค่ไหนอุปมาที่ว่ากิ้งกือมีขานับร้อยนับพันขาก็มีสิทธิเดินตกท่อได้เหมือนกัน
-
อย่างตอนที่คิดการณ์วิวาห์เหาะ สมัยลอบรักกับภรรยาคนแรก สปัน เธียรประสิทธิ์ ทายาทมหาเศรษฐี เข้าทำนอง ดอกฟ้ากับชาวดิน หรือที่เพื่อนๆล้อกันว่า ดอกฟ้ากับหมาวัดนั่นแหละ แม้จะรักกันลอบรักกันสักแค่ไหน หนทางลงเอยด้วยความสุขตามประเพณีไม่มีเอาเสียเลย และยิ่งเป็นไปไม่ได้แม้ "คุณเล็ก" สปัน เธียรประสิทธิ์ สาวสวยหรูเด่นดังที่เพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆจากอังกฤษจะมีใจเอื้อแวะเวียนมาที่ห้างกมลศุโกศลบ่อยครั้ง เพราะเป็นญาติสนิทเจ้าของห้าง มาทีไรเป็นได้พบหน้าค่าตาเสมียนหนุ่มหน้าตาดีแผนกแผ่นเสียงทุกทีไป
         มาเลือกแผ่นเสียงบ้าง พูดคุยกับเสมียนหนุ่มบ้าง แม้เจ้าของห้างจะมีลูกสาวอันนับญาติก็เท่ากับน้องสาวอย่างกมลา และกมลี สุโกศล แต่เธอก็ยังเด็กกว่าจะลงสนิทคุ้นเคยกับเสมียนหนุ่ม และรู้ว่าเสมียนหนุ่ม ชรินทร์ นันทนาคร มีโปรแกรมร้องเพลงในรายการพิเศษรุ่งอรุณตามโรงภาพยนตร์แทบเกือบจะทุกสัปดาห์ ดอกฟ้าสปัน ก็จะมีคุณอาภรรยาเจ้าของห้างร่วมไปเป็นเพื่อนชมรายการแทบจะทุกอาทิตย์
         และเมื่อรายการเลิกตอนสาย ไม้กันหมาอย่างผม ก็จะถูกชักชวนนั่งเคียงคู่ข้างหน้ารถยนต์ไปกับชรินทร์โดยมีดอกฟ้ากับคุณอาร่วมเดินทางท่องเที่ยวไปด้วย ไปตามจังหวัดใกล้ๆอย่างพระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐมเพราะสมัยนั้นยังไม่มีสวนสามพรานหรือบางปู ปากน้ำและเพราะบางแสนชลบุรีดูจะไกลและทุรกันดารเกินไป พัทยานั้นไม่ต้องกล่าวถึง เพราะยังเป็นทุ่งรกชายทะเล
         ความรักจะสุกงอมตอนไหนไม่ทราบได้ แต่มีอยู่คราวหนึ่ง เขามาปรารภและให้ช่วยหาปืนเถื่อนให้เขาสักกระบอกหนึ่ง แม้จะถามว่าต้องการไปทำไมก็ไม่ได้รับคำตอบ ผมเองก็จนปัญญาที่จะหาได้ เพราะไม่มีช่องทางเอาเสียเลย
         จนกระทั่งก่อนหน้าที่ ขุนแผน ลูกแม่ระมิงค์ คิดจะวางแผนการใหญ่ ในวันศุกร์วันนั้น ผมอกจากงานราชการที่แผนกประชาสัมพันธ์การรถไฟมาพบเขาที่ห้างกมล สุโกศล ดั่งเช่นเคยทุกวัน ที่ทั้ง สุเทพ วงศ์กำแหง นริศ อารีย์ ซึ่งบางทีก็มี อนันต์ เหล่าพาณิชย์ ซึ่งคนหลังนี้เป็นเพื่อนร่วมอัสสัมชัญคอมเมอร์ซ ที่ปัจจุบันคือ "บิ๊กบอส" ใหญ่ของ บริษัท ไทยซังเกียว จำกัด ซึ่งเป็นผู้คนพบและผลิตยารักษาโรคกระเพาะ จนได้รับการจดลิขสิทธิ์โลกมาร่วมเที่ยวเตร่หลังเลิกงานด้วย และเพราะอนันต์ออกจะอู้ฟู่กระเป๋าหนักกว่าพวกเราที่ยอบแยบเต็มทน
         พอปลอดคนปลอดเพื่อนๆ ชรินทร์ก็แอบกระซิบให้ผมแว่บออกจากงานเร็วกว่ากำหนดสักหน่อยมาพบเขาที่ห้างในวันจันทร์ ซึ่งไม่เป็นเรื่องยากลำบากอันใดเพราะผมนั้นกระโดดร่มเป็นประจำ เลิกงานก่อนเวลาอยู่แล้ว
         และในบ่ายแก่ๆ ตามนัด เมื่อผมโผล่เข้าไปในห้างทุกคนมองผมกันเป็นตาเดียว
         "ชรินทร์อยู่ไหน" นายห้าง กมล สุโกศล ถามผม
         ผมงุนงง จนกระทั่งคุณนายภรรยานายจ้าง เรียกผมเข้าไปในห้องทำงานถามย้ำอีกที แต่ผมก็ปฏิเสธไม่รู้ท่าเดียว
         "ชรินทร์นัดผมให้มาที่ห้างนี่ วันนี้แต่วันๆ นี่ครับ"
         คุณนายส่งโทรเลขให้ผมดูซึ่งมันเป็นโทรเลขที่ส่งมาจากจังหวัดเชียงใหม่ถึงชรินทร์ งามเมือง (นามสกุลเดิม) เนื้อความบอกว่ามารดาป่วยหนักให้เดินทางไปเชียงใหม่ด่วน
         ถ้าพิจารณาดูตามเนื้อความ ก็จ่าจะเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อมีโทรเลขแจ้งข่าวเจ็บไข้ได้ป่วยของมารดา ชรินทร์ก็อาจจะผลุนผลันเดินทางไปทันทีไม่บอกไม่แจ้งใคร ผมถูกถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกสองสามคำ แต่ก็ไม่ปริปากบอก เหตุผลที่ถามมากมาย ผมมาเข้าใจในตอนหลังว่า ตอนนั้นเป็นช่วงที่ต่างปกปิดเรื่องราวการหายตัวไปของสปัน เธียรประสิทธิ์ แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ก็มิได้ระแคะระคาย จนกระทั่งมีการตัดสินใจแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นแหละ ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับจึงรายงานกันทั่วไปหมด และเป็นช่วงที่ญาติพี่น้องทางฝ่ายครอบครัว ดอกฟ้าที่เป็นนายตำรวจเดินทางไปจับกุมตัวได้ทั้งสองคนที่โรงแรมในจังหวัดพิษณุโลก พรากดอกฟ้ากลับมากรุงเทพฯ ปล่อยทิ้งให้ตัว ชรินทร์ถูกคุมขังอยู่ในสถานีตำรวจด้วยข้อหาเล็กน้อยเต็มทนในข้อหามีปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง ขังรวมกับไอ้เสือฆ่าคนตายราวข้อหาอุฉกรรจ์ ก่อนจะคุมตัวกลับมาสอบสวนและปล่อยที่กรุงเทพต่อมา
         แผนผิด หรือผิดแผน ในเรื่องนี้มีอยู่อีกสองสามแผนด้วยกันคือ
         ผิดแผนแรก คือ พาดอกฟ้าขึ้นรถด่วนเหนือและแวะลงเสียกลางทางที่พิษณุโลกด้วยความคิดว่า ถ้ากรุงเทพฯไหวทันติดตามหรือรอดักปลายทางก็จะคว้าน้ำเหลว
         ผิดแผนสอง คือ คิดและเข้าใจผิดว่าอันการจดทะเบียนสมรสนั้นจะต้องจดกันที่อำเภอในภูมิลำเนาบ้านเกิดที่เชียงใหม่
         ผิดแผนสามนั้นคือ ถูกควบคุมตัวมาทางเครื่องบินจากพิษณุโลกถึงดอนเมืองท่ามกลางผู้สื่อข่าวที่รุมล้อมรอบ เพราะได้ข่าวว่า ระหว่ามีการจับกุมตัวที่โรงแรมได้ถูกญาติผู้เป็นนายตำรวจของดอกฟ้า ลงมือลงไม้ด้วยความโกรธเสียหลายตุ้บ นักข่าวโดยเฉพาะ "สิงห์โตฮึ่ม … ฮึ่ม" สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช ลงทุนไปหาผมที่บ้านเพื่อช่วยมาประกอบตัวชรินทร์ทันที่เพื่อให้ "สิงโต" ซักถามลับเฉพาะรีบด่วนถึงข่าวเรื่องถูกซ้อม แต่แผนตามความคิดของชรินทร์นั้นต่างกัน เมื่อเขาถูกซักถามเรื่องที่ถูกลงไม้ลงมือ เขาปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะด้วยความคิดหวังว่า ถ้าพูดดีๆ พูดเพราะๆ แบบประนีประนอมเอาอกเอาใจญาติฝ่ายดอกฟ้า ความเมตตาคงจะปล่อยตัวให้มาร่วมอยู่กินกัน
         เปล่าเลย ถูกควบคุมมาถึงกรุงเทพฯ โดนปรับข้อหามีปืนเถื่อนแล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมา ส่วนดอกฟ้าถูกพาซ่อนตัว และกีดกันให้ห่างจากกันจนต้องวางแผนกันใหม่ ชนิดด้วยความร่วมไม้ร่วมมือของเพื่อนฝูง และนักข่าวหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งนายตำรวจ ชนิดที่ว่าวางแผนเหนือชั้นเหนือเมฆ จนได้ตัวมาแต่งงานอยู่กินกันจนมีพยานรักน่ารักเป็นสองสาว แต่ท้ายที่สุดก็ต้องเลิกราหย่าร้างกันไปอย่างน่าเสียดาย
         ตำนานรักกระฉ่อนกรุงของสองคนนี้ ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึงของผู้คนในยุคสมัยเมื่อกว่าสี่สิบปีต้นๆ และเล่าขานกันไปนาน  ...

วิวาห์เหาะของ ชรินทร์ งามเมือง (นามสกุลเดิม) เสมียนแผนกแผ่นเสียงของห้างกมลสุโกศล สามยอด วังบูรพากับ สปัน เธียรประสิทธิ์ นักเรียนอังกฤษลูกสาวมหาเศรษฐีเป็นตำนานของเพลง "ทาษเทวี" ที่ สง่า อารัมภีร์ ประพันธ์ไว้ให้จนทุกวันนี้
         ...เธอเป็นดอกฟ้า รู้ไหมว่าเราเป็นดั่งทาษเทวี
         แม้นไม่ปรานี ชาตินี้คงระทมอยู่เรื่อยไป...
         เสียงเพลงจากแผ่นเสียง ที่พรรคพวกเพื่อนพ้องของนักร้องหนุ่มเอามาเปิดออกอากาศจนดังระงมไปทั้งเมือง ตามสถานีวิทยุต่างๆ รวมไปทั้งบรรดาเพื่อนรักนักร้องของเขา และผมมีรายการจัดเพลงที่สถานีวิทยุทหารอากาศ ทุ่งมหาเมฆ ในยุคที่ สุวัฒน์ วรดิลก กำลังอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ยุคของ น.อ.ต.กำธน สินธุวานนท์ (ยศขณะนั้น ปัจจุบัน องคมนตรี) เป็นหัวหน้าสถานี ทุกเพลงที่เกิดจากการขับร้องของชรินทร์ งามเมือง กลายเป็นการจุดพลุชักนำให้สถานีวิทยุต่างๆ พากันเปิดเพลงของชรินทร์กันทั้งเมือง
         ไม่เพียงเท่านั้น เป็นช่วงระหว่างที่ภาพยนตร์ไทยเรื่อง "แก้วตานาง" กำลังทำการฉายอยู่ที่โรงภาพยนตร์คิงส์ วังบูรพา (ปัจจุบันห้างเมอร์รี่คิงส์) ภาพยนตร์เรื่องนี้จากการอำนวยการสร้างของ วิจารณ์ ภักดีวิจิตร และมี ส.อาสนจินดา (ศิลปินแห่งชาติ) ล่วงลับไปแล้ว เป็นผู้กำกับการแสดง อาศัยที่ว่า ชรินทร์ งามเมือง มีความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวกับ ส .อาสนจินดา นับตั้งแต่ครั้งสมัยที่ ส.อาสนจินดากลับจากถ่ายภาพยนตร์เรื่อง "เสวตเตอร์สีแดง" ที่แสดงนำร่วมกับ รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง และ "ล้อต๊อก" ที่สหรัฐอเมริกา และชรินทร์ งามเมืองจะต้องเป็นผู้ร้องเพลง "เสวตเตอร์สีแดง" แทน ส.อาสนจินดาในเรื่อง จึงมีความสนิทสนมรักใคร่กันเรื่อยมา
         สมองอันเฉียบไวของ ส.อาสนจินดาจึงบังเกิดขึ้น ในช่วยระหว่างที่เรื่องราวของดอกฟ้าและเพลงทาษเทวีกำลังระงมกรุงกันอยู่ ซ้ำหนังสือพิมพ์ลงภาพข่าวเบื้องหลังเบื้องลึกกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน ชรินทร์ งามเมือง จึงถูกติดต่อทาบทามให้ขึ้นปรากฎตัวบนเวทีโรงภาพยนตร์ก่อนการฉายภาพยนตร์เรื่อง "แก้วตานาง" ซึ่งนำแสดงโดย วิภา วัฒนธำรงค์ ทุกรอบ และปรากฏว่ามีประชาชนคนดูพากันเข้าชมอย่างล้นหลาม
         หาเงินหาทอง หารายได้จากการร้องเพลงสลับภาพยนตร์ไทยในครั้งนั้นด้วย รายได้ค่าตัวสูงไม่น้อย แต่ข่าวคราวของ ดอกฟ้า สปัน เธียรประสิทธิ์ ยังมีการกล่าวขวัญกันถึงไม่รู้จบ เพราะการที่ถูกแยกพรากโดยไร้ร่องรอยโดยมีนักข่าวจากหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารเบื้องหลังต่างๆ พากันเสนอเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวคู่นี้กันมิได้ขาด ผมเองก็พลอยเป็นคนดังไปด้วย โดยต้องต้อนรับเพื่อนนักข่าวที่ขอสัมภาษณ์ของเรื่องราวเบื้องหลัง บางเรื่องบางตอนถึงที่บ้าน โดยเฉพาะ สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช ซึ่งยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นหัวหน้าข่าวที่เฉียบคมและมีฝีมือระดับยอดเยี่ยมในยุทธจักรคนหนึ่ง
         สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช หรือ "ปรัศนีย์ 100 %" หรือ "สิงโต ฮึ่ม ฮึ่ม" ที่โด่งดังมากในยุคหนึ่ง ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และอาศัยที่มีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวกับชรินทร์ งามเมือง ได้พยายามสืบเสาะที่จะหาแหล่งกบดานของ สปัน เธียรประสิทธิ์ ที่ถูกพาหลบซ่อนตัวเก็บเงียบโดยไม่มีบุคคลภายนอกล่วงรู้ว่าอยู่หนใด
         สุเทพ เหมือนประสิทธเวชแวะมาหาผมที่บ้านเหมือนอย่างเคย หลังกาแฟยามสายที่ร้านกาแฟ "ใต้จง" อันเป็นร้านกาแฟมีชื่อย่านบางลำพูซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในยุคสมัยนั้น
         เราพยายามทบทวนเบาะแสต่างๆ จากการพูดคุยจากความคิดที่ว่า แห่งไหน บ้านหลังใดจะเป็นที่เก็บตัวซุ่มซ่อนของ สปัน เธียรประสิทธิ์
         "สปันน่าจะต้องได้ข่าวความเคลื่อนไหวของชรินทร์บ้าง" เราพากันพูดถึงและเชื่อว่าทุกความเคลื่อนไหวผ่านหูผ่านตาเธอบ้าง
         มาทราบเอาในภายหลังว่า หนังสือพิมพ์ถูกห้ามขาดมิให้นำเข้าบ้าน วิทยุและรายการเพลงถูกปิดมให้ฟัง มีเพียงแผ่นเสียงเพลงสากล และเปียนโนกับหนังสือนวนิยายต่างๆ แก้เหงา แต่ถึงกระนั้น ภายหลังอีกนั่นแหละเสียงเพลงจากวิทยุจากข้างรั้วบ้านก็ยังรอดระงมมาให้ได้ยิน โดยเฉพาะเพลงจากเสียงของชรินทร์ที่เปิดออกอากาศกันแทบทุกรายการ
         ผมยังนึกและทบทวนไม่ได้ว่า สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช ไปได้เบาะแสมาจากไหนว่า สปัน เธียรประสิทธิ์ ไปถูกเก็บซ่อนตัวที่บ้านมารดาซึ่งแยกบ้านพักจากบิดา
         "เขาพูดๆ กันว่าถูกพาไปหลบอยู่บ้านแม่" สุเทพ เหมือนประสิทธิเวชบอกกับผมวันหนึ่ง
         "รู้ไหม แม่เขาชื่ออะไร อยู่ที่ไหน"
         ผมพยายามทบทวนความจำ จากที่ได้พูดคุยกันและการกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวเท่าที่ได้เคยเป็น "ไม้กันหมา" ถูกชวนไปไหนต่อไหนตอนที่ความรักของดอกฟ้าสปันกับหมาวัดชรินทร์กำลังจะผลิดอกออกช่อ
         "ไม่แน่ใจนะ เห็นสปันเคยพูดว่า เคยไปเยี่ยมแม่ที่บางซ่อน ยังเคยถามว่าอยู่คนละบ้านกับคุณพ่อ หมอเปล่งหรือ" ผมว่า และอย่างที่นึกขึ้นได้
         "อ้อ พอจำได้แล้ว ดูเหมือนจะชื่อ สุนทรี อยู่แถวบางซ่อนนี่แหละ"
         เพียงแค่นี้ สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช นักข่าวหนังสือพิมพ์ผู้เยี่ยมยุทธก็สานต่ออย่างทันควัน และเกาะติดกับข่าวอย่างเข้าถึง

 สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช จะไปสืบเสาะที่ไหนต่อไปอย่างไรไม่ทราบได้ ผมมารู้ต่อมาว่า ในวันหนึ่งตอนบ่าย รถจิ๊ป (ซึ่งสมัยก่อนใช้นิยมเป็นรถตระเวนข่าว) แล่นไปจอดที่บ้านริมรั้วขอบเขตชิดหลังหนึ่งที่ริมถนนย่านบางซ่อนตรงใกล้กับที่ทางรถไฟตัดผ่าน
         หนุ่มนักข่าวร่างสมาร์ทหน้าตาจัดว่าหล่อเหลาคมสัน หนวดขลิบเรียวงามที่ริมฝีปาก มือถือบุหรี่กระป๋องการิคที่นิยมถือติดมือกันสำหรับหนุ่มสังคมในยุคนั้น เดินวางมาดอาดๆ หน้าขรึมไปกดออดที่ประตูหน้าบาน
         พลันที่สาวใช้ในบ้านเปิดประตูและยิงคำถามกับหนุ่มมาดเท่ห์ด้วยคำถามแรก
         "คุณมาหาใคร มาจากไหน"
         ถามอย่างนี้ ก็ตอบด้วยมาดขรึมที่วางไว้อยู่แล้ว
         "มาพบคุณสปัน ผมมาจากกองปราบ"
         แค่นี้ เท่านี้ มาดขรึมก็เป็นดุจเดิม สาวใช้ปิดประตูเพียงแง้ม หลักจากบอกให้รอสักครู่ และครู่เดียวที่สาวใช้กลับมาใหม่ เปิดประตูกว้างพร้อมกับเชิญเข้าไปนั่งในห้องรับแขกที่มีสุภาพสตรีวัยกลางคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
 -
เพียงแค่เคารพและนั่งบนเก้าอี้รับแขก ทักทายกันแค่คำสองคำ เสียงฝีเท้าลงมาจากบันไดข้างบน สปัน เธียรประสิทธิ์นั่นเอง
         "อ้าว คุณสุเทพ ไปไงมาไงคะ"       ยังไม่ทันอธิบาย ยังไม่ทันตอบ สุภาพสตรีวัยกลางคนที่เป็นมารดา ซึ่งกำลังมีสีหน้าประหลาดใจอยู่แล้ว และยังมิทันเอ่ย เพียงมีสีหน้าและสายตาเป็นเชิงถามผู้เป็นลูกสาว
         "คุณสุเทพแกเป็นนักข่าวพิมพ์ไทย รู้จักเล็กดี" สปันบอกถึงที่มาที่ไปด้วยความพาซื่อ
         เท่านั้นเอง กลเม็ดหน้าขรึมตีสีหน้าว่ามาจากกองปราบก็พลันแตก
         "ไหนคุณบอกว่าเป็นตำรวจจากกองปราบ" เสียงเขียวและขรึมจากผู้เป็นเจ้าของบ้านดังขึ้น พร้อมกับผลุดลุกขึ้นยืน
         อย่างดื้อๆ ด้านๆ ข้างๆ คูๆ
         "ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นตำรวจ เด็กถามผมว่ามาจากไหน ผมก็บอกว่ามาจากกองปราบ ก็ผมเพิ่งไปทำข่าวมาจากกองปราบสามยอดนี่ครับ"
         "เชิญกลับได้ บ้านนี้ไม่ต้อนรับนักข่าวหนังสือพิมพ์"
         นั่นคือประกาศิตจากเจ้าของบ้าน เป็นการปิดฉากการสนทนาและต้อนรับ แต่นั่นก็คือเบาะแสที่ให้เป็นที่รับรู้แล้วว่า ดอกฟ้าสปัน เธียรประสิทธิ์ ถูกพามาซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังนี้

มาถึงเรื่องราววันที่ดอกฟ้า สปัน เธียรประสิทธิ์ถูกชาวดินชรินทร์ งามเมือง พาวิวาห์เหาะเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่ครั้งแรกถูกจับได้ พาพรากแยกจากกันมาแล้ว
         เพราะ สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช เดินเข้าบ้าน สุนทรี อันเป็นแหล่งซุกซ่อนตัวของ สปัน เธียรประสิทธิ์เจ้าสาวคืนเดียวของเขา และแม้ความจะแตกที่ถูกจับได้ว่า มิได้เป็นตำรวจกองปราบ หากแต่เป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์และถูกตะเพิดออกมาจากบ้าน แต่ข่าวย่อมรู้ไปถึงหูของชรินทร์ งามเมืองอยู่ดี
         แผนอีกครั้งของ "ขุนแผน ลูกแม่ระมิงค์" จึงถูกวางขึ้น
         รถจิ๊ปเล็กถูกจัดเตรียมไว้พร้อม และแน่ละปัญหาด้านกฎหมายในการพาตัวเจ้าสาวคืนเดียวที่จะไม่ถูกข้อหาลักพา ได้มีการซักถามทางด้านข้อกฎหมายจนหมดสิ้นกระทงความกันแล้วผู้ที่ให้คำปรึกษาอย่างดีเป็นพวกนายตำรวจกองปราบ ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.ทิพย์ รื่นเริง พ.ต.ต.จรูญ ศรีมานนท์ปริญญา หรือแม้แต่ ร.ต.อ.เกีรยติ ตีระแพทย์ ฯลฯ ซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกับนักร้องในกลุ่มนี้เป็นอันดี เพราะนายตำรวจเหล่านี้เป็นนายตำรวจกองปราบปราม สามยอด ซึ่งอยู่ชิดติดกับโรงละครเฉลิมนคร (ปัจจุบันเป็นอาคารจอดรถยนต์ในย่านคลองถม แหล่งสินค้าหนีภาษีปลอมแปลงของคนจน)
         ละครเวทีที่โรงเฉลิมนครจัดแสดงละครเวทีประจำ และคณะละครตลอดจนทีมงานอย่างพระเอกนางเอก สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ พรรณี สำเร็จประสงค์ สุพรรณ บูรณพิมพ์ ฉลอง สิมะเสถียร ฯลฯ ไปจนถึงระดับ นักประพันธ์บทละคร สุวัฒน์ วรดิลก หรือนักดนตรีและเพลงอย่าง สง่า อารัมภีร์ จึงมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับนายตำรวจเหล่านี้จนยืดเยื้อต่อมาจนล้มหายตายจากกันไปก็มี
         ทำนองเดียวกัน นักร้องกลุ่มนี้แม้เป็นเพียงนักร้องสลับฉากละคร ที่เรียกว่า นักร้องหน้าม่าน ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นน้อง และเมื่อก้าวหน้ากลายเป็นนักร้องมีชื่อเสียงโด่งดังก็ยังคงเคารพนับถือกันมาจนทุกวันนี้
         มีนายตำรวจให้คำปรึกษากฎหมายเสียอย่าง หนทางช้างเผือกก็ดูสดใส และตอนนี้ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีการนัดหมายอย่างไรกัน ถึงกำหนดวันวิวาห์เหาะหนสอง และกำหนดวันเวลาแน่นอน หรือสัญญากันทางไหน ผ่านใคร
         เพราะมาทราบว่า ในวันวิวาห์เหาะนั่นเอง บนถนนติวานนท์ย่าตอนบางซ่อนในยุคสมัยเมื่อเกือบสี่สิบปีก่อนนั้น ย่านนี้ออกจะเปลี่ยนน่าดู สองข้างฟากถนนยังเป็นท้องทุ่งบางแห่งถนนมีลาดยางมะตอยเป็นบางตน และบางตอนยังเป็นถนนลูกรังสีแดง นานๆ จะมีรถยนต์แล่นสักคัน
         รถจิ๊ปควบปุเลงๆ มาบนถนน และเมื่อถึงหน้าถนนซอย เลี้ยวเข้าไปช้าๆ หนุ่มหน้าละมัยสวมแว่นสีดำสนิทราวจะปกปิดใบหน้าแท้จริง ขับรถจิ๊ปผ่านบ้านไปเที่ยวหนึ่งแล้ว พร้อมเสียงแตรกดในสัญญาณของจังหวะจบของดนตรี
         ซึ่งเสียงสัญญาณนี้ ผมเองก็เรียกไม่ถูก รู้แต่ว่าเมื่อดนตรีจะจบการบันเลงในแต่ละเพลงมักจะมีเสียงนี้ดังขึ้นพร้อมๆ กัน และเป็นอันรู้กันจนกลายมาเป็นสัญญาณแตรรถยนต์หรือเคาะประตูที่จะเป็นที่รู้กันว่า พรรคพวกนักดนตรีหรือนักร้องด้วยกัน
         แตรสัญญาณที่ว่าถูกกดไปแล้ว และรถจิ๊ปแล่นผ่านไปเที่ยวหนึ่งแล้วเลยไปกลับรถที่ห่างจากบ้านเล็กน้อย จนกระทั่งแล่นช้าๆ มาใกล้บ้านพร้อมเสียงสัญญาณอีกครั้งรถจิ๊ปแล่นเอื่อยๆ และจอดกึกตรงห่างจากประตูบ้านนิดเดียว โดยเครื่องยังติดอยู่
         พลันดอกฟ้า สปัน เธียรประสิทธิ์ ก็โผล่ออกมาในชุดกางเกงกะทัดรัด มีผ้าแพรสีสวยโพสศีรษะพร้อมกับแว่นตา ก้าวอย่างเร่งรีบขึ้นไปนั่งเคียงข้างคนขับ ที่เข้าเกียร์ในทันทีที่ผู้โดยสารขึ้นนั่งเรียบร้อย แล่นเร็วรี่ออกจากซอยไปสู่ถนนใหญ่มุ่งหน้าลัดเลาะไปสู่กรุงเทพมหานครจนยากที่จะมีใครติดตามได้ทัน
         รถจิ๊ปคันนั้นมุ่งหน้าข้ามสะพานพุทธยอดฟ้า ข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาไปบ้านพักของ ร.ต.อ.ทิพย์ รื่นเริง
         บ้านหลังนี้แหละเป็นรังรักที่ ดอกฟ้า กับ ชาวดิน ได้อยู่กินกันอย่างมีความสุข ซึ่งหลังจากรีบรุดทำการจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่ใครก็มิอาจแยกพรากจากกันไปได้ นอกจากเป็นความประสงค์ต้องการของทั้งสองฝ่ายเอง
         แต่แล้วหลังการครองรักกันมาด้วยความสุข โดยมีพยานรักเป็นหญิงร่วมกันสองคนไม่ช้าไม่นานนักก็ถึงคราวล่มสลายเป็นการปิดฉากนิยายรักจากชีวิตจริงของ ดอกฟ้า กับ ชาวดินที่กระฉ่อนเมืองจนแทบสิ้น ท่ามกลางความเสียดายและสลดใจของเพื่อนผองคนใกล้ชิดของทั้งสอง
         แผนที่ "ขุนแผน ลูกแม่ระมิงค์" งัดเอามาใช้อีกครั้ง เมื่อเขามีความรักครั้งใหม่ที่เป็นความรักทีต้องซ่อนเร้นเหมือนครั้งแรกเริ่ม
         เพราะเขาไปริรักกับนางเอกภาพยนตร์ไทย ซึ่งเป็นนางเอกยอดนิยม เพชรา เชาวราษฎร์
         ความรักซ่อนเร้นของเขาในครั้งนี้ล้วนเป็นการวางแผนตั้งแต่แรกที่หาทางเข้าไปทอดไมตรีกับดาราสาวยอดนิยม (ยุคนั้น) ต้องซ่อนเร้นปิดบังทุกอย่าง วางแผนทุกอย่างกว่าจะสมหวัง เพราะยุคสมัยนั้น นางเอก พระเอกภาพยนตร์ นางเอกภาพยนตร์ไทยจำต้องปิดบังทุกอย่างกับสภาพแท้จริงของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของคู่ครอง ซึ่งเรื่องราวระหว่างเขากับอดีตนางเอก เพชรา เชาวราษฎร์ ล้วนเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและน่าสงสารในบั้นปลายชีวิตปัจจุบันมิใช่น้อย
         ซึ่งผมจะนำมาเขียนต่อเนื่องกันโดยจากที่ได้ประสบด้วยตนเอง จากปากคำสัมภาษณ์จากผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดในลำดับต่อไป
         ผมเขียนความเรื่องนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและรับรู้ในหลายช่วงตอน ซึ่งอาจจะผิดแผกแตกต่างไปจากคำบอกเล่า หรือได้ยินได้ฟังกันมาจากคนอื่น
         และการเอ่ยกล่าวตัดส่วนตอนในเรื่องราวชีวิตของ ชรินทร์ นันทนาคร ในส่วนนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะเล่าท้าวความถึงสมญานาม "ขุนแผน" ที่เขาได้รับ ซึ่งเป็นพฤติการณ์ชีวิตของเขา
         ก้อ ชีวิตคนเรานั้น ถ้าเลือกหั่นเลือกตัดทอนออกมา มันจะได้เรื่องราวชีวิตมากมายหลายตอนทีเดียว อาจินต์ ปัญจพรรค์ พี่ที่ผมรักและนับถือเคยกล่าวไว้ในทำนองนี้มิใช่หรือ