บุคลากร บริการLinks

รักนิรันดร์

ขอให้ความรักที่เกิดขึ้นมานั้น เป็นรักนิรันดร์ **

โครงกระดูกมนุษย์ที่ตระคองกอดกันและกันไว้ แน่นิ่งยาวนานอยู่เช่นนั้นเป็นเวลากว่า 5,000 ปี มาแล้ว "

เรื่องราวความรักแท้ยั่งยืนยาวนานของโครงกระดูกมนุษย์ที่ตระคองกอดกันและกันไว้ แน่นิ่งยาวนานอยู่เช่นนั้นเป็นเวลากว่า 5,000 ปี มาแล้ว
จะเรียกได้ไหมว่าเป็นการตระคองกอดกันไปจนชั่วนิรันดร์?

นักโบราณคดีอิตาลีได้ขุดค้นพบซากกระดูกที่ถูกฝังไว้ยาวนานถึง 5,000 - 6,000 ปี ในท่าที่ตระคองกอดกันและกันอยู่เช่นนั้น ที่ทางตอนเหนือของเมืองมันโตว่า

เอเลน่า เมนอตติ นักโบราณชาวคดี หัวหน้าทีมที่ขุดค้นพบซากดังกล่าวเชื่อว่า การขุดพบโครงกระดูกครั้งนี้เป็นเคสพิเศษมาก ซึ่งไม่เคยพบว่ามีการฝังศพสองศพกอดคู่กันในยุคนีโอลีธิคมาก่อน

"ซึ่งเขากอดกันอยู่จริง ๆ ด้วย" นักโบราณคดียืนยัน

เมนอตติเชื่อว่า ทั้งคู่น่าจะเป็นโครงกระดูกผู้หญิงและผู้ชายอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามต้องรอการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่น่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มสาว ดูได้จากฟันที่ยังอยู่เกือบสมบูรณ์และไม่สึกหรอเท่าไหร่

นักโบราณคดีสาวบอกอีกว่า ทีมงานทุกคนตื่นเต้นมากที่ได้ค้นพบ เธอมีประสบการณ์การทำงานมากว่า 25 ปี และเดินทางไปขุดซากโบราณตามสถานที่ประวัติศาสตร์ดัง ๆ อย่าง "ปอมเปอี" รวมไปถึงหลาย ๆ สถานที่มาแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้า การขุดค้นพบครั้งนี้จึงถือว่าเป็นอะไรที่พิเศษมากทีเดียว

โดยที่จะมีการนำโครงกระดูกรักนิรันดร์ไปตรวจสอบในห้องแล็บ เพื่อค้นหาอายุที่แท้จริง ช่วงเวลาการเสียชีวิต และค้นหาว่าโครงกระดูกคู่นี้ถูกฝังมายาวนานเท่าไหร่แล้ว

กระทั่งข้อมูลล่าสุดออกมารับช่วงวาเลนไทน์พอดี ชาวอิตาเลียนตั้งชื่อให้กับโครงกระดูกคู่รักว่า "คู่รักแห่งวัลดาโร" โดยนักวิทยาศาสตร์ออกมาแจ้งแล้วว่าจะไม่มีการแยกโครงกระดูกยุคหินคู่นี้ออกจากกันโดยเด็ดขาด เพื่อเป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ให้กับชาวอิตาเลียน

เกือบ 6,000 ปี ผ่านไป อ้อมแขนของทั้งคู่ยังคงผูก-พัน กันและกันอยู่อย่างนั้น เป็นอ้อมกอดที่คงทนยาวนาน

และแทนที่จะพรากอ้อมกอดจากโครงกระดูกทีละชิ้น ๆ มาตรวจสอบ นักโบราณคดีจึงวางแผนที่จะตักดินบริเวณที่ค้นพบซากกระดูกฝังไว้มาตรวจสอบแทน โดยจะนำมาศึกษาก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายจัดเก็บไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอิตาลี เพื่อที่จะดำรงรักษาเรื่องราวการกอดที่ยาวนานที่สุดในโลกนี้ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป

"เราจะเก็บพวกเขาทั้งคู่ไว้เช่นนี้ อย่างที่ทั้งคู่มีกันและกันเช่นนี้ตลอดมา" นักโบราณคดีสาวคนเดิมกล่าว ซึ่งตอนนี้ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือนักวิทยาศาตร์โบราณคดีจะต้องสืบหาเรื่องราวให้ได้ เพื่อทำให้เป็นแหล่งโบราณคดีที่ลึกลับและยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลี ในฐานะที่เป็นที่รู้จักว่า ได้ค้นพบคู่รักมนุษย์ยุคนีโอที่ถูกฝังไว้ในท่ากอดกัน

ขณะที่นักวิทยาศาตร์ค้นพบเรื่องราวและหลักฐานใหม่ยืนยันแล้วว่าทั้งคู่ตายในตอนหนุ่มสาวและพิสูจน์ว่าเป็นผู้หญิงกับผู้ชายจริง ขณะที่หลักฐานอื่น ๆ ที่ค้นพบคืออุปกรณ์ต่าง ๆ และหัวลูกศรที่เป็นหินในบริเณใกล้เคียงกัน เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าทั้งคู่อยู่ในยุคหินและไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง ทว่ามีส่วนอื่น ๆ ถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ ถิ่นฐานที่ตั้งรกรากในยุคหินด้วย

ความรักเป็นเรื่องจีรังหรือไม่ ถึงโลกยุคอวกาศ ก็คงยังไม่มีใครตอบได้ แต่หากโครงกระดูกอ้อมกอด"คู่รักแห่งวัลดาโร" คู่นี้ จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ที่ทำให้ชนรุ่นหลังได้เห็นถึงความรักแท้แล้ว คุณค่าที่มากกว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ นั่นก็คือเรื่องราวของความรักและความผูกพันที่แม้ความตายก็มิอาจพราก .

ความตายไม่อาจพราก "รัก"...นิรันดร์