ในเมืองอันอุดมสมบูรณ์เมืองหนึ่ง ยังมีชายพเนจรคนหนึ่งเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย เขาไม่มีที่ดินทำกิน
วันๆได้แต่เดินเร่ร่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เพื่อรับจ้างคนในเมือง แลกกับข้าวปลาอาหาร ทุกๆวันเขาได้แต่นั่งอ้อนวอนเทวดา เพื่อขอที่ดินสักผืนไว้เป็นที่ทำกิน แต่เขาก็ยังไม่ได้สมความปรารถนา
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวว่าเจ้าเมืองจะออกเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ชายหนุ่มดีใจมาก จึงไปรอพบเจ้าเมืองพร้อมกับพวกชาวบ้าน ขณะที่เจ้าเมือง กำลังเดินทักทายชาวบ้านอยู่นั้น ได้มีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปหาเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นจึงรีบพุ่งตัวออกไปจับงูร้ายก่อนที่มันจะฉกกัดท่าน
เมื่อเจ้าเมืองรอดตายจากงูร้าย จึงบอกกับชายหนุ่มว่า
ขอขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้าต้องการอะไร ข้าก็จะให้ ชายหนุ่มรู้สึกดีใจมากจึงบอกกับเจ้าเมืองว่า ข้าต้องการที่ดินสักผืนหนึ่ง ไว้ปลูกบ้าน ปลูกผักปลูกข้าว ทำมาหากิน เจ้าเมืองได้ฟังดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า
ตกลง ข้าจะให้ที่ดินแก่เจ้าผืนหนึ่ง เอาเป็นว่าตั้งแต่ชานเมืองนี้ไป เจ้าเดินไปถึงแค่ไหน แค่นั้นก็เป็นที่ดินของเจ้าก็แล้วกัน ชายหนุ่มรับคำด้วยความดีใจ เขากราบลาท่านเจ้าเมือง แล้วรีบเดินออกไปยัง ชานเมืองทันที
เขาเริ่มต้นเดินๆๆๆๆไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเขาก็ครุ่นคิดถึงคำของท่านเจ้าเมืองไปตลอด ถ้าหากเราเดินไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ที่ดินมากเท่าที่เราต้องการ
ดังนั้น แม้ว่าอากาศในตอนบ่ายจะร้อนอบอ้าว ทำให้เขารู้สึกหิวโหยและกระหายน้ำมากเพียงใด
ชายหนุ่มก็ไม่ยอมหยุดพัก เขายังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปจนกระทั่งมืด ค่ำ เขาเริ่มรู้สึกหิวและอ่อนล้ามากขึ้น ขาทั้งสองก้าวได้ช้าลง แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดเดิน เพราะคิดอยู่ตลอดว่า ยิ่งเดินได้ไกลเท่าไหร่
ก็ยิ่งได้ที่ดินมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงกัดฟันเดินฝ่าความมืดต่อไปเรื่อยๆจนถึงรุ่งเช้า ในที่สุดเขาก็ล้มลง และไม่นานก็ขาดใจตาย ชายหนุ่มไม่ได้ที่ดินดังหวัง แม้กระทั่งที่ดินที่จะฝังศพตัวเอง
ก็เพราะความไม่รู้จักพอเป็นเหตุนั่นเอง ....... คนที่ไม่รู้จักพอ ย่อมก่อความเดือดร้อนให้กับตนเองได้ในภายหลัง เพราะความไม่รู้จักพอ ทำให้ไม่รู้จักประมาณในการกินการอยู่ และความโลภที่แม้เกิดขึ้นในใจเพียงเล็กน้อย
ก็จะปิดบังปัญญาในการยั้งคิดไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม
|