ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระราชาผู้ปราดเปรื่ององค์หนึ่ง
ต้องการจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปเยี่ยมประชาชนของพระองค์ เมื่อมาถึงที่กลางตลาดพระองค์ ก็เกิดความคิดที่แยบคายอย่างหนึ่งขึ้น พระองค์นำหินก่อนใหญ่มาวางกลางถนน กีดขวางทางเดินของชาวบ้าน
และพระองค์ก็ไปซ่อนตัวและคอยสังเกตอยู่ห่าง ๆ
ชาวนาคนแรกเดินผ่านมาพร้อมทั้งบ่นอย่างไม่พอใจว่า ใครกันที่เป็นผู้ที่นำหินนี้มากีดขวางทางเดินของเขา แต่แล้วเขาก็เดินอ้อมหินนั้นไป พระราชาก็มองดูด้วยความสนใจ
ต่อมามีหญิงเลี้ยงวัวคนหนึ่งเดินจูงของตนมา เมื่อมองเห็นหินก่อนนั้น
เธอก็พูดว่าทำไมหินก่อนนี้จึงมาอยู่ที่นี่ แล้วอย่างนี้เธอจะข้ามมันไปได้อย่างไร พูดจบหญิงคนนั้นก็จูงวัวของเธอเดินหันหลังกลับ ไปโดยไม่สนใจที่จะเดินอ้อมมันไปเหมือนชาวนาคนแรก
เวลาผ่านไปไม่นานก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าก้อนหินก้อนใหญ่นั้น
เค้าพยายามที่จะผลักหินไปให้พ้นทาง แต่เพียงลำพังตัวเขาก็ไม่สามารถทำได้ เขาจึงเดินหันหลังกลับไป แต่เพียงไม่กี่อึดใจเด็กน้อยคนนั้นก็เดินกลับมา พร้อมกับเพื่อน ๆ ของเขาหลายคน แล้วเด็กๆ
ก็ช่วยกันผลักหินก้อนนั้นออกไปให้พ้นทางเดิน
เมื่อพวกเขาเดินกลับมาที่ถนน
พวกเขาก็พบถุงใส่เหรียญทองของพระราชา วางอยู่แทนที่หินก้อนนั้น หินก้อนนั้นได้ให้ข้อคิดที่มีค่าอย่างหนึ่งนั่นก็คือ อุปสรรคในชีวิตของพวกเรานั้นมีไว้เพื่อพิสูจน์ ความกล้าของเราที่จะเผชิญหน้ากับมัน หากเราหนีปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นแล้ว เราก็ต้องหนีมันไปเรื่อย หากปัญหานั้นหนักหนาเกินกว่าเราจะฝ่าฟันไปได้ ลองมอง ไปรอบ ๆ ตัวแล้วเราจะพบว่า ยังมีผู้ที่สามารถช่วยเรามากเท่ากับผู้ที่เราสามารถ จะช่วยให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคของเขาไปได้ และอุปสรรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ ความอ่อนแอและความหวาดกลัวของตัวเราเอง ที่จะเอาชนะปัญหาที่เกิดขึ้นนั่นเอง
|