ช่วงนี้ มีหลายคนมาถามพ่อเรื่อง “โยกย้าย” พ่อก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะพ่อจะย้ายหรือไม่ย้าย พ่อเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าจะพูดไป ก็เป็นเวลาที่พ่อควรจะย้ายแล้ว เพราะอยู่มา 5 ปี ตามวาระแล้ว ระยะหลังนี้ พ่อจึงค่อยๆ เก็บรวบรวมข้าวของส่วนตัว ที่พ่อเอาไปซุกไว้ ตามที่ต่างๆ พอถึงเวลาจะได้สะดวกในการขนย้าย

พ่อพบว่า ของบางอย่าง พ่อลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพ่อมีอยู่ ตลอด 5 ปี มันจึงเหมือนเป็นสิ่งที่พ่อไม่ให้ความสนใจ มองไม่เห็น และไม่ได้เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ทั้งๆที่เมื่อมาพบเข้าวันนี้ พ่อก็ไม่คิดจะทิ้งมันไป เพราะพ่อยังเห็นว่า มันยังมีคุณค่าและประโยชน์ เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเลย พ่อมาคิดว่า ถ้ามันมีชีวิตจิตใจเหมือนคนที่ถูกมองข้าม มันคงรู้สึกน้อยใจไม่น้อย พ่อพบมันคราวนี้เหมือนปลุกให้มี “ชีวิตใหม่” ทั้งพ่อและมัน “ปัสกา” นี้ ลองคิดดูสิว่า มีใครที่เราหลงลืมไปบ้างหรือเปล่า?

ในลิ้นชักหนึ่ง พ่อพยายามจะจัดให้เรียบร้อย เพราะรกรุงรังมาก พ่อต้องการแยกเอาอะไรก็ตามที่เป็นของส่วนตัวออกมา สิ่งที่พ่อพบสิ่งหนึ่ง ที่พ่อซุกเอาไว้ในนั้นอยู่นานแล้ว ทำเอาพ่อน้ำตาซึมออกมาเฉยๆ เป็นรูปถ่ายของพี่สาวที่ตายไปแล้วประมาณ 10 ปี เขาเป็นคนเดียวในหมู่พี่น้องของพ่อ 6 คนที่ตายไป ใบหน้า รอยยิ้ม และแววตาทำให้เรื่องราวในอดีตมากมายผุดขึ้นมาในความทรงจำ รูปถ่ายนี้อาจจะไม่มีค่าแต่มีความหมาย เพราะมันทำให้ผู้คนอันเป็นที่รักกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ในความรู้สึกนึกคิดของเรา ในทำนองเดียวกันเมื่อพ่อไปค้นตามตู้และลิ้นชักอื่นๆ บ่อยๆ พ่อก็พบสิ่งที่ซุกเอาไว้จนลืม ทั้งๆที่มันยังสามารถเอามาใช้ให้มีค่าและมีประโยชน์ได้ เมื่อใดก็ตาม ที่พ่อพบเช่นนี้ สิ่งเหล่านั้นก็เหมือนว่ามีชีวิตใหม่ บางที พี่น้องเองก็อาจมีอะไรหลายสิ่งซุกอยู่ตามตู้ ตามลิ้นชัก เหมือนกัน

เรื่องน่าอ่าน

รายการมิสซาประจำสัปดาห์

อันที่จริง พ่อไม่ต้องการพูดถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอกตัวของเรามากนัก เพราะสิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นอีกหลายๆสิ่ง เราอาจซุกเอาไว้อยู่ในจิตใจของเราก็ได้ ตราบใดที่เรายังซุกมันเอาไว้อยู่ มันก็เหมือนตาย เมื่อใดนำมันออกมาใช้ มันก็มีชีวิต มันอาจจะเป็นความทรงจำที่ดีๆ เกี่ยวกับใครบางคนหรือความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กับใครไว้ หรือบรรยากาศดีๆ ที่เคยประทับใจในชีวิตบางเสี้ยวบางตอน หรือข้อคิดดีๆที่เคยยึดถือกันเป็นหลักปฏิบัติ และเคยรู้สึกว่าเป็นสุขเมื่อได้ทำตาม หรืออะไรก็ได้ที่เราอยากเก็บรักษามันไว้และอยู่กับชีวิตของเราเสมอ บางที “ปัสกา” ก็เป็นเวลาที่เราจะค้นหาสิ่งมีค่าเหล่านั้นให้พบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำให้มันมีชีวิตเสียใหม

น่าเสียดายที่บ่อยๆ มนุษย์เราชอบจมปรักอยู่กับสิ่งที่ไร้ค่า และมีชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านั้นจนเคยชิน (จนหลงลืมสิ่งที่มีค่าจริงๆ ไป) อย่างเช่น ความชิงชังเคียดแค้น ความอิจฉาริษยา ความหยาบคาย และความโง่เขลาเป็นต้น

สิ่งหนึ่งที่ปัสกาสอนเราได้ก็คือ ไม่สำคัญว่า ชีวิตเราจะสั้นหรือยาว เพราะแท้ที่จริง ชีวิตไม่จบลงแต่เพียงในโลกนี้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ เรามีชีวิตอยู่กับสิ่งใดที่ทำให้ชีวิตทั้งของเราและของคนอื่นๆ มีค่าหรือไม่

หากชีวิตของเราเอาแต่อยู่กับสิ่งที่ไร้ค่า การฉลองพระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพจากความตาย ในโอกาสปัสกาก็ไร้ความหมาย ฉะนั้นเราจงค้นหาสิ่งมีค่าต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเรา

- พ่อสุรสิทธิ์ -