สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน

เรื่องน่าอ่าน       รายการมิสซาประจำสัปดาห์

ในเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบาก หรือความไม่พึงพอใจ เรามักจะรู้สึกว่า เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า คิดในใจว่า เมื่อไรจะจบสิ้นสักที ตรงกันข้าม ในเวลาที่เรารู้สึกพึงพอใจ กำลังเพลิดเพลินกับความสนุกความสบาย เรากลับรู้สึกว่า เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

พวกเด็กๆ และวัยรุ่นอาจจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้า เพราะตนเองอยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ โดยคิดว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยากทำอะไรก็ได้ตามใจสักที เวลานี้มีแต่ผู้ใหญ่คอยสั่ง คอยสอน คอยบังคับอยู่เรื่อย นั่นเป็นเพราะกำลังอยู่ในวัยใจร้อน และความคิดอ่านยังน้อยอยู่ หารู้ไม่ว่า แม้เป็นผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำอะไรได้ตามใจ ตรงข้าม กลับต้องทำอะไรต่อมิอะไรที่ตนเองไม่ชอบด้วยซ้ำ แต่ต้องทำด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่สำคัญคือไม่มีใครมาบังคับ ต้องเลือกทำเอาเอง
 

ส่วนพวกผู้ใหญ่ ยิ่งอายุมากเท่าไร ก็อาจรู้สึกว่า เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ อาจเป็นเพราะความวิตกกังวล ห่วงใยในหลายเรื่อง เกี่ยวกับหน้าที่การงานและความประพฤติของลูกหลาน สังคม ชาติบ้านเมือง รวมถึงเรื่องวันเวลาแห่งความตาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครต่อใครไม่อยากให้มาถึงเร็วนัก แต่ก็นั่นแหละ ความวิตกกังวลอาจเป็นตัวเร่งวันแห่งความตายโดยไม่รู้ตัว สู้ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามธรรมชาติของมันดีกว่า มีดีบ้าง เลวบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง เป็นธรรมดาของทุกสิ่ง ทุกชีวิต ทุกสังคม และในธรรมชาติย่อมมีกฏเกณฑ์แห่งการตัดสินอยู่แล้ว ทุกอย่างมีเวลาของมัน เราจะชอบหรือไม่ชอบ เมื่อถึงเวลามันก็มาหรือมันก็ไป

พ่อคิดว่า ปัญหาจึงไม่ใช่อยู่ที่เวลาเสียทีเดียว ว่ามีเวลามากหรือน้อย เวลาเดินช้าหรือวิ่งเร็ว  แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่การไม่รู้จักใช้เวลาต่างหาก ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ความคิดและจิตใจโดยแท้

คำพูดในบทโฆษณาทางโทรทัศน์ บางครั้งก็น่ารับฟัง
“แม่ต้อย เป็นโรคมะเร็ง มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี แม่ต้อยบอกว่า โชคดีจัง 2 ปี ทำอะไรได้อีกเยอะ....... แม่ต้อยสอนลูกว่า ค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เรารวยหรือเราจน ไม่ใช่อยู่ที่เรามีอายุยาวนานหรือไม่ ไม่ใช่อยู่ที่สุขภาพดี แต่อยู่ที่เราดำเนินชีวิตเป็นคนที่มีคุณค่า”

นี่น่าจะเป็นความหมายหนึ่งของ “จงระวัง จงตื่นเฝ้าเถิด เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไร” (มก.13:33) ในโอกาสที่เราเริ่มต้นเข้าสู่เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า เทศกาลนี้น่าจะนำชีวิตของเราที่รู้สึกว้าวุ่น วุ่นวาย กังวล ให้หยุดคิด ไตร่ตรอง เพื่อมองให้เห็นหนทางเดินต่อ อันนำไปสู่การดำเนินชีวิตที่เป็นคนมีคุณค่า เป็นชีวิตที่มีความสุขความยินดีแห่งคริสต์มาสเป็นเป้าหมาย เพราะอันที่จริงทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง

พ่อสุรสิทธิ์