คนเราเป็นอะไรๆ ได้มากกว่าที่ตนเองคิดหรือที่คนอื่นๆ คิด ทั้งในทางที่ดีและในทางที่เลวด้วย แต่วันนี้ พ่ออยากจะพูดถึงเรื่องในทางที่ดีมากกว่า อย่างเช่น “ความเข้มแข็ง” ของมนุษย์เราทุกคนมีความเข้มแข็งมากกว่าที่ตนเองคิด

หรือที่คนอื่นๆ คาด เพราะบางทีมนุษย์เราก็เอาแต่ดูถูกตัวเอง หรือสบประมาทตัวเองว่าเป็นคนอ่อนแอ ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ หรือทนอีกหน่อยก็ไม่เอา แล้วก็ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความอ่อนแอ โดยเอาแต่บอกเหตุผลกับตัวเองและคนอื่นๆ ว่า ก็มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์เรานี่นา

พ่อชอบนึกจินตนาภาพเรื่องหนึ่งที่พ่อเคยได้ยินเสมอ แต่ยังไม่เคยเห็นกับตาสักครั้งหนึ่ง นึกขึ้นมาทีไรก็ขำในใจทุกที และโดยหลักการทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ว่า เป็นความจริงได้เสียด้วย คือเรื่องเวลาที่เกิดไฟไหม้บ้าน แล้วท่ามกลางความตกใจจนไม่รู้จะทำอะไรถูก สัญชาติญาณก็สั่งให้หนีเอาชีวิตรอด ปัญญาก็สั่งให้หวงแหนทรัพย์สมบัติ แต่เพราะความกดดันเร่งรีบ สับสนไม่รู้จะเอาอะไร ก็เลยแบกตุ่มที่อยู่ใกล้ตัววิ่งหนีไฟออกมา ทั้งๆ ที่ถ้าอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีทางเลยที่จะแบกตุ่มนั้นไหว เพราะหนักเกินไป แต่ในเวลาที่ตกใจเช่นนั้น ร่างกายโดยธรรมชาติจะหลั่งสารตัวหนึ่งที่ก่อให้เกิดพลังมหาศาลชั่วขณะ จนสามารถแบกตุ่มได้ นี่แหละที่พ่ออยากจะยกเป็นตัวอย่างว่าคนเราแข็งแรงหรือเข้มแข็งมากกว่าที่ตนเองคิดและที่คนอื่นคาด

พ่อคิดว่าในเรื่องของชีวิตก็เป็นทำนองเดียวกัน บางเรื่องที่เราคิดว่ายุ่งยาก ลำบากจนไม่สามารถสู้ไหว หรือทำได้ ต่อเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์อันจำเป็น เราก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่า เราก็พอสู้ไหวถ้าใจสู้ ทำได้ถ้าใจอยากทำ

การเปลี่ยนแปลงหรือการกลับใจทุกครั้ง เรามักพบความยุ่งยากลำบากเสมอ เราอาจคิดว่า มันยากเกินไป แต่ที่จริงแล้ว เราเข้มแข็งพอที่จะเอาชนะ ขอให้เราเริ่มต้นด้วยพลังความคิด และความเชื่อที่มีซ่อนอยู่ภายใน แม่หม้ายและลูกกำพร้าหลายต่อหลายคน ในเวลาที่มีพ่อบ้านเป็นเสาหลัก ไม่เคยคิดอะไรมากเกี่ยวกับความเข้มแข็ง แต่ในเวลาที่สถานการณ์บังคับ เมื่อสูญเสียเสาหลักไป ใหม่ๆ จะคิดว่าตนทำอะไรไม่เป็น ไม่สามารถทำได้ ทุกอย่างเลวร้ายไปหมด แต่ด้วยความรักลูก หรือความรักที่มีต่อสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ที่ต้องการการดูแล ที่สุดสิ่งที่ไม่เคยทำได้ ก็ทำเป็น บางสิ่ง มีความอายไม่เคยกล้าทำ บัดนี้ กลับเข้มแข็งพอที่จะทำได้ เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากก็จริง แต่เพราะมนุษย์เรามีความเข้มแข็งมากกว่าที่ตนเองคิด ด้วยพลังที่อยู่ข้างใน

“พระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไป ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า แล้วประกาศเอลียาห์ กับโมเสส สำแดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า” ดูภายนอกพระเยซูเจ้าเป็นคนธรรมดาที่มีความอ่อนแอ แต่แล้ว เมื่อถึงเวลา พระองค์ก็แสดงให้เห็นว่า พระองค์เป็นมากกว่าที่เห็น

ไม่ว่าสภาพภายนอกของเราแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าใครๆ จะคิดเกี่ยวกับเราว่าเป็นอย่างไร จงอย่าลืมว่า “เราสามารถเป็นได้ดีมากว่านั้น” เทศกาลมหาพรตเป็นเวลาแห่งการทดสอบเพื่อสำแดงสิ่งที่ดีที่มีอยู่ภายในชีวิตจิตใจของเราแต่ละคน
 

พ่อสุรสิทธิ์