เรื่องน่าอ่าน         รายการมิสซาประจำสัปดาห์

สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน

หลังฉลองวัดแล้ว พ่อรู้สึกว่าวัดของเราดูเงียบเหงาไป อาจเป็นเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเตรียมงานฉลอง หรืออาจเป็นเพราะเครียดจากเหตุการณ์ไม่สงบของบ้านเมือง หรืออาจเป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต แต่จะอย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า “อย่าให้อะไรมาพรากเราจากความรักของพระเจ้าได้”

อันที่จริง ความรักของพระเจ้านั้น มั่นคงเสมอ จะมีก็แต่มนุษย์เราเองเท่านั้นที่อาจไม่มั่นคงในความรัก บางทีก็ดีเหมือนกัน ที่เราจะมีเวลาเงียบสงบบ้าง เพื่อตั้งสติของเรา พิจารณาสิ่งรอบด้านให้รอบคอบ แล้วจึงตัดสินสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญา การรู้จักใช้สติและปัญญานี่แหละ เราจึงจะเห็นความรักของพระเจ้า และทำให้ชีวิตของเราบังเกิดคุณค่า และพบความสงบสุขแท้จริง

อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้และเป็นอยู่บ่อยๆ ที่มนุษย์เรา อาจเดินออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง เพราะอะไรสักอย่างที่เราเห็นว่า “ดี” บางทีสิ่งที่มนุษย์เราเห็นว่าดี มีอันตรายมากกว่าสิ่งที่เห็นว่าชั่วเสียอีก สิ่งที่เห็นว่าชั่วยังมีมโนธรรมในใจ และเสียงสังคมภายนอกคอยยับยั้งต้านทาน แต่สิ่งที่เห็นว่าดี มีแต่ทุ่มเทสุดกำลัง ปัญหาที่เราคงต้องใช้สติปัญญาในการพิจารณาตัดสิน ก็คือที่เห็นว่าดีนั้น เป็นการเห็นถูกหรือเห็นผิด น่าเศร้าและน่าเสียดายเหลือเกิน ที่เรามักเห็นคนดีๆ และดีจริงๆ สองพวกตีกันเอง ในสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างเห็นว่า “ดี”

พ่อได้ยินเรื่องราวของคนบางคน ที่จริงมีหนี้สินอยู่มากพอควร ทั้งจากการกู้ยืม และจากใช้บัตรเครดิต แต่ตัดสินใจซื้อรถยนต์คันงาม เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง เขาก็คงเห็นว่าดีแล้ว คุ้มกับความเหนื่อยในการหมุนเงินใช้หนี้รอบตัว สิ้นเดือนแต่ละทีจิตใจไม่เป็นสุข อยู่บ้านก็ไม่ได้ ออกไปก็ไม่ดี มีเสียงโทรศัพท์ก็ตกใจ ระแวงไปหมดว่าจะถูกทวงหนี้ ซึ่งไม่มีวันหมด เรื่องเงินจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของชีวิตทุกวันไป เงินจะกลายเป็นปัจจจัยอันสำคัญในการตัดสินใจที่จะทำอะไรๆ ต่างๆ ในชีวิต พ่อไม่รู้ว่า เขาจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง เพื่อได้รถยนตร์คันหนึ่งมาใช้

“ของซีซาร์ จงคืนให้แก่ซีซาร์” มีคนบอกว่า เมื่อเราตาย เราต้องคืนวัตถุทั้งหมดให้แก่โลกก็เป็นความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ แต่พ่ออยากจะเพิ่มเติมว่า ที่จริง เราคืนวัตถุให้แก่โลก หรือเราคืนของซีซาร์ให้แก่ซีซาร์ ตั้งแต่เรามีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำไป และมันเรียกคืนพร้อมดอกเบี้ย นั่นคือ มากกว่าที่มันให้เราเสียอีก เพราะอาจหมายถึง เราต้องให้จิตวิญญาณของเราแก่มันด้วย เราจึงมีชีวิตเหมือนไม่ใช่คนผู้มีสติปัญญา

พ่อมีข้อสังเกตว่า มีใครบ้างยอมตายเพื่อเงิน? พ่อเห็นแต่มีคนยอมเสียเงินทั้งหมด เพื่อรักษาชีวิต นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า เมื่อถึงเวลาสุดท้ายความจริงก็ปรากฎออกมาว่า ชีวิตนั้นสำคัญกว่าเงินมากมายนัก อาจมีบางคนที่เจ็บป่วย แต่ไม่ยอมเสียเงินเพื่อรักษาตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะเงินที่หวงแหน แต่เป็นเพราะการเสียสละชีวิตของตนเอง เพื่อเก็บเงินไว้สำหรับคนในครอบครัวที่ตนรัก เราเรียกได้ว่า เขายอมตาย เพื่อคนที่ตนเองรักมากกว่า สุดท้ายความรักก็อยู่เหนือสิ่งอื่นใดๆ และความรักนี่แหละคือชีวิต

ฉะนั้น “ของซีซาร์ จงคืนให้แก่ซีซาร์” และอย่าลืมว่า “ของพระเจ้า ต้องคืนให้แก่พระเจ้า”



                                                                                         พ่อสุรสิทธิ์