เรื่องน่าอ่าน

รายการมิสซาประจำสัปดาห์

สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน

เสาร์–อาทิตย์ที่แล้ว บรรดาสัตบุรุษพาพ่อไปเข้าเงียบที่กาญจนบุรี โอกาสเตรียมจิตใจเทศกาลมหาพรต บางคนอ่านแล้ว อาจจะแย้งว่าพ่อพูดผิดแล้ว ควรจะพูดว่า“พ่อพาสัตบุรุษไปเข้าเงียบมากกว่า”แต่พ่อยืนยันว่า พ่อพูดไม่ผิดดอกครับ

 เพราะพ่อรู้สึกว่า การไปเข้าเงียบอย่างนี้ พ่อเองกลับได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง มากกว่าที่ได้แบ่งปันบางอย่างเสียอีก

พ่อได้เรียนรู้ว่าสัตบุรุษจำนวนมาก มีชีวิตจิตใจที่ “ศักดิ์สิทธิ์” มากกว่าพ่อมากมายนัก เพราะพ่อได้เห็นหลายต่อหลายคนใฝ่หาความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ดี ตั้งใจฟังและติดตามทุกอย่างด้วยความอดทน ที่ต้องอดทนก็เพราะบางทีพ่อก็พูดอะไรไม่ค่อยจะรู้เรื่อง หรือบางอย่างในใจก็อาจจะไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง บางครั้งถึงกับขัดแย้งอยู่ในใจว่าทำไม พ่อไม่เห็นทำตามสิ่งที่พ่อสอน อะไรทำนองนั้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังอดทนเพื่อบางสิ่งที่อยากเรียนรู้ แล้วนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ พ่อได้เห็นสัตบุรุษมากมายเต็มใจสวดยาวๆ นานๆ สิ่งที่พ่อว่า “นาน” สัตบุรุษกลับรู้สึกว่า น่าจะมากกว่านี้อีก จนพ่อรู้สึกว่า คนที่ต้องการกลับใจคือพ่อนี่เองแหละ มิหนำซ้ำ บางครั้ง พ่อยังอาจเอาความรู้สึกส่วนตัวไปขัดขวางความศรัทธาของบรรดาพี่น้องเสียอีกด้วย

วันนี้พ่อเลยหวนกลับไปคิดถึงเรื่องตลกที่คุณพ่อเสนอ ดำเนินสะดวก เล่าให้ฟังระหว่างการเข้าเงียบ ที่อาเจ็กหลับในวัด ตายแล้วได้รถเบ็นซ์ป้ายแดง ส่วนพ่อเจ้าวัด ตายแล้วได้รถกระบะมือสอง เหตุเพราะเทศน์แล้วทำให้คนหลับทั้งวัด ส่วนอาเจ็กแกหลับของแกคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร อันที่จริง เรื่องนี้ยังสะท้อนถึงกฎเกณฑ์แห่งความรับผิดชอบตามฐานะของแต่ละคนด้วย นั่นคือ ความผิดเดียวกัน ผู้รู้ดีย่อมต้องรับผิดชอบมากกว่าผู้ไม่รู้ หรือผู้มีฐานะลำดับชั้นสูงกว่า ก็ย่อมต้องรับผิดชอบมากกว่า นั่นหมายความว่า ผู้พิพากษาหากทำผิดอาชญากรรมเสียเอง ย่อมต้องได้รับโทษหนักกว่าคนอื่นๆ
 
แง่คิดหนึ่งในเรื่องของการกลับใจ ก็เป็นเรื่องนี้แหละ ตามที่พระเยซูตรัสสอนในพระวรสารประจำอาทิตย์นี้คือ “ประเด็นของการตัดสินลงโทษก็คือความสว่างได้เข้ามาในโลกนี้แล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง” เพราะความหมายของ “บาป” ในชีวิตของเรามนุษย์ก็เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง เพราะบาปหมายถึง เรามนุษย์รู้ดีว่าสิ่งที่จะทำนั้นผิดและเลว เหมือนเห็นความสว่างแล้ว แต่เรามนุษย์เลือกที่จะทำสิ่งนั้น คือรักความมืดมากกว่า ผลของมันคือลงเอยด้วยการตัดสินลงโทษ

ฉะนั้น จงอย่าให้ความหลอกลวงใดๆ ของโลกครอบงำชีวิตจิตใจของเรา เพราะความหลอกลวงไม่อาจค้ำจุนชีวิตของเราได้อย่างยั่งยืน แต่จงมีชีวิตที่ปฎิบัติตามความจริง เพราะผลของมันคือการได้พบกับสันติสุข ไม่ว่าความจริงนั้นจะยากลำบากและเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม

พ่อสุรสิทธิ์