เรื่องน่าอ่าน       รายการมิสซาประจำสัปดาห์

บทสนทนาจากเจ้าอาวาส

สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน

พ่อเป็นคนหนึ่งที่ “บ้ายอ” ในความหมายที่ว่าเป็นคนชอบคำชม ไม่ใช่ในความหมายที่ว่าพอมีใครชมอะไรแล้วก็จะทำอะไรบ้าๆ บอๆ เกินควรไปตามคำชมนั้น ถึงแม้บางครั้งอาจหลุดไปบ้างก็ตาม เพียงแต่ว่าไม่สู้มีคนนิยมชมพ่อสักเท่าไร อย่างไรก็ตาม บางครั้งบางคราว เมื่อมีใครบางคนเอ่ยปากชมอะไรสักอย่าง แม้จะชอบเพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกด่า แต่ภายในก็มีความรู้สึกละอาย ได้แต่ยิ้มรับและขอบคุณสำหรับคำชม ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่ใช่ความอาย แต่เป็นความละอายที่บอกกับตัวเองว่า อันที่จริง เรายังไม่ถึงขั้น “ของจริง” ไม่ใช่เป็นเรื่องการถ่อมตนแต่ประการใด

พ่อหันมาถามตัวเองว่า มีอะไรบ้างที่เราสามารถถือว่าเก่งหรือดีถึงขั้นเชี่ยวชาญ ก็ปรากฏว่า ไม่เห็นมีเลย เท่าที่เป็นอยู่ก็มีแค่รู้นั่นนิด รู้นี่หน่อย เอาเข้าจริงๆ ก็ถึงกับอับจนปัญญา หรือว่าทำอะไรเป็นบ้าง หลายๆอย่างก็แค่พอทำได้ ที่สุดแล้วล้วนต้องอาศัยผู้มีความชำนาญมากกว่าทั้งสิ้น ส่วนเรา ก็ค่อยๆ สะสมความรู้และประสบการณ์ให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ส่วนเมื่อไรจะถึงขั้นของจริงนั้น ไม่กล้าถามตัวเองด้วยซ้ำ

เอาเป็นว่า เราเป็นของเราได้เท่านี้ แล้วพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราเป็น พร้อมกับพยายามพัฒนาปรับปรุงไปเรื่อยๆ ก็นับได้ว่าเก่งแล้ว ดีแล้ว เพียงแต่อย่าไปถอดใจกลางทางเสียก่อน

บางครั้ง พ่อพบว่าคริสตชนบางคน เบื่อหน่ายตัวเองที่ไม่สามารถแก้ไขตนจากบาปและความอ่อนแอบางอย่างที่กระทำอยู่เป็นประจำ แล้วก็ต้องมาสารภาพบาปซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้น จนที่สุด ก็จะเริ่มเบื่อหน่ายที่จะมาแก้บาปไปด้วย พ่อกลับคิดว่าอาจดีกว่าคริสตชนอีกบางคน ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยกับบาปและความอ่อนแอที่กระทำอยู่เป็นประจำ ซึ่งเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ทำแล้วก็แค่ไปแก้บาป แม้กรณีหลังนี้ พ่อว่าก็ยังดีกว่าอีกบางคนที่คิดว่าไม่รู้จะไปแก้บาปทำไม และไม่มาแก้บาปอีกเลย

อย่างน้อยการแก้บาปก็เป็นเครื่องหมายยืนยันกับตัวเองว่า เรายังต้องการการกลับใจ ส่วนจะสำเร็จเมื่อไร คงมีสักวัน เวลานี้เฝ้าแต่หวังในพระเมตตา

สิ่งสำคัญนั้น พ่อคิดว่า อยู่ที่การพยายามรักษาน้ำใจดีของเราเอาไว้ ให้ซื่อสัตย์มั่นคงในความเชื่อ และให้ความเชื่อนั้นเยียวยารักษาชีวิตวิญญาณของเรา

พ่อเองชอบที่จะคิดว่า เมื่อพระเป็นเจ้าให้กระแสเรียกเราแต่ละคน พระองค์ทรงเรียกเราแต่ละคนเฉพาะเจาะจง โดยมีแผนการพิเศษอะไรสักอย่างหรือหลายอย่าง ซึ่งในแผนการนั้นจะขาดเราไปไม่ได้ อย่างเช่น เราจะเป็นบุคคลมีค่าหรือมีความหมายสุดหัวใจของใครบางคนหรือหลายคน หรือในบางจังหวะเวลาของเหตุการณ์ใด เราจะกลายเป็นผู้มีบทบาทอันจำเป็นที่แทรกเข้ามา ทำให้เหตุการณ์นั้นสำเร็จหรือบังเกิดความหมาย บางอย่างบังเกิดความหมายก็เพราะเป็นตัวเรา เป็นคนอื่นก็ไม่ได้ เพราะจะไม่มีความหมาย อะไรทำนองนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะเป็นใคร ไม่ว่าเราจะรู้สึกต่อตัวเราเองอย่างไร ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไร หรือไม่ว่าเราจะมีดีมีเลวอย่างไร เราแต่ละคนได้รับกระแสเรียกพิเศษอยู่เสมอ เพียงเราดำเนินชีวิตด้วยน้ำใจดีและซื่อสัตย์ในความเชื่อ แล้วเราจะเห็นว่า ชีวิตของเรานั้นน่าภูมิใจ

พ่อไม่ได้พูดเช่นนี้ด้วยความจองหองยะโส แต่เพราะการที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาอัครสาวกในพระวรสารวันนี้ สะท้อนถึงการเรียกเราเองแต่ละคนด้วย และพระองค์เรียกอย่างเฉพาะเจาะจง และในเวลาเดียวกัน เราทุกคนต่างก็ต้องสำนึกความจริงที่ว่า เราเป็นมนุษย์ที่มีความอ่อนแอ และบกพร่อง เราทุกคนจึงยังคงต้องการ “การกลับใจ” ในชีวิตของเราทุกวัน
 

พ่อสุรสิทธิ์