เรื่องน่าอ่าน         รายการมิสซาประจำสัปดาห์

สวัสดีครับ พี่น้องที่รักทุกท่าน...

เมื่อไม่นานมานี้ พ่อได้พบข่าวหนึ่ง จำไม่ได้ว่าพ่ออ่านจากที่ไหน เป็นข่าวเกี่ยวกับการเปิดบริการถวายมิสซาและศีลศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนการให้ความรู้ทางศาสนาและการให้คำปรึกษาในห้างสรรพสินค้า ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นข่าวที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ ความคิดเรื่องนี้คงมาจากรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คน (lifestyle) เปลี่ยนไปมากแล้ว พระศาสนจักรจึงพยายามปรับตัว เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คริสตชน เมื่อถึงเวลาที่ผู้คนเริ่มมาวัดน้อยลงเรื่อยๆ หรือไม่มาวัด อาจถึงเวลาที่วัดต้องออกไปหาผู้คน แน่นอนคงไม่ถึงกับต้องปิดวัด แต่อย่างน้อยมีเวลาส่วนหนึ่ง สำหรับคริสตชนส่วนหนึ่ง ซึ่งจะสะดวกสำหรับการทำหน้าที่นมัสการพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างสมควร

อันที่จริง เรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ บางคนเห็นด้วย บางคนไม่เห็นด้วย ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเป็นธรรมดา สิ่งที่พ่อต้องการพูดถึงวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวโน้มของสัตบุรุษปัจจุบันที่กำลังมาวัดกาลหว่าร์แห่งนี้ ลดน้อยลง

ว่าไปแล้วสำหรับเราพระสงฆ์ สัตบุรุษจะเลือกไปวัดไหน ตามแต่จะสะดวกนั้นไม่เป็นปัญหา ขอให้ไปก็ดีแล้ว แต่มีข้อสังเกตว่า หมู่คณะใดที่สมาชิกยิ่งทียิ่งลดน้อยลง หมู่คณะนั้นก็ยิ่งอ่อนแอ พลังแห่งความเชื่อก็ยิ่งถูกริดรอนลงไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเราเห็นคนมาน้อย ก็หดหู่ใจ ทำให้ไม่ค่อยอยากมา ตรงข้าม เห็นคนมามากใจก็ฮึกเหิม มีกำลังใจที่จะมาตามไปด้วย ฉะนั้น ถ้าเห็นว่าวัดใดมีคนมาน้อยลงไปเรื่อยๆ อาจพูดได้ว่า ความเชื่อของกลุ่มคริสตชนนั้นกำลังถดถอย

น่ากลัวว่า วัดกาลหว่าร์ของเราในทุกวันนี้ ดูเหมือนผู้คนกำลังมาวัดน้อยลงในทุกรอบมิสซาของวันเสาร์-อาทิตย์

ทั้งๆ ที่วัดกาลหว่าร์ของเรามีความงดงามและมีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง จัดได้ว่าเป็น “เสน่ห์” อย่างหนึ่งของกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ แต่ความงามและคุณค่าเหล่านี้ แม้อาจส่งเสริมศรัทธาได้บ้าง ก็ไม่อาจสร้างศรัทธาที่ผูกพัน พ่อเคยเห็นวิหารใหญ่โตหลายแห่งในยุโรป เก่ากว่านี้ สวยกว่านี้ ใหญ่กว่านี้ แต่ปัจจุบัน กลายเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์แหล่งท่องเที่ยวให้แวะชม แต่ไม่มีผู้คนมาปฏิบัติความเชื่ออีกแล้ว น่าเสียดาย เพราะทุกอย่างเอื้ออำนวยต่อความศรัทธา แต่เข้าไม่ถึงหัวใจ หรือไม่ หัวใจมนุษย์ก็ไม่รับรู้

บางคนบ่นว่า ที่มาวัดกันน้อย เพราะวัด “ร้อน” พ่อยอมรับว่า บางช่วง บางเวลา ร้อนจริงๆ แต่กระนั้น แม้แต่จะติดแอร์ให้เย็นฉ่ำทั้งวัด บางทีก็อาจไม่ใช่คำตอบ ผู้ที่มีศรัทธาจำนวนมาก ร้อนยังไง ก็มาวัดอยู่ดี บางคนอ้างว่าดีเสียอีกจะได้ใช้โทษบาปไปในตัว อย่างไรก็ตาม การติดแอร์ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมที่มีประโยชน์ได้เหมือนกัน

เป็นความจริงที่ว่า ปัจจุบันนี้สัตบุรุษวัดกาลหว่าร์แยกย้ายกันไปอยู่รอบนอกกันมาก ไม่สะดวกที่จะมาวัดเดิมอีกต่อไป ไปวัดใกล้บ้านดีกว่า เรื่องนี้พ่อเห็นด้วย เดี๋ยวนี้ สะดวกที่ไหน ควรไปที่นั่น ให้การไปวัดของเราไปด้วยความสุข ปัญหาขณะนี้คือ ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนสมัยใหม่ มีผลต่อความสะดวกในการไปวัดหรือไม่ สังเกตจากมิสซารอบ 08.00 น. หรือ 08.30 น. ของวัดต่างๆ ซึ่งแต่เดิมถือเป็นมิสซาเอก คนมามากที่สุด ปัจจุบันกลับเป็นรอบที่ผู้คนไม่นิยมมา อาจเพราะหากจะมาต้องตื่นแต่เช้า ในขณะที่การได้พักผ่อนตามสบายอย่างเต็มที่ในวันหยุดวันอาทิตย์ กลายเป็นเรื่องสำคัญของครอบครัว ที่จะออกจากบ้านตอนสายๆ แล้วไปไหนต่อไหนต่อ โดยไม่ติดขัดอะไร จึงเห็นกันว่า 10.00 น. และ 11.00 น. ผู้คนมาวัดหนาตา

ทุกวันนี้จึงมีการตั้งคำถามว่า เราควรจะปรับเวลามิสซาวันอาทิตย์ได้เหมาะกับรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนปัจจุบันอย่างไร? ใครมีข้อเสนอประการใด ช่วยบอกพ่อด้วย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

บางที การที่เราทำตามบัญญัติเอกที่พระเยซูเจ้าสอนว่า “จงรักพระเจ้าสุดจิตใจ สุดวิญญาณ และสุดสติปัญญา” ส่วนหนึ่ง ก็แสดงออกมาด้วยการไปวัดวันอาทิตย์ อย่างมีความสุขนี่เอง แม้จะไม่มีความสะดวกบ้างก็ตาม
 

                        พ่อสุรสิทธิ์